ASTVผู้จัดการรายวัน- ภาคเอกชน 3 สถาบันหรือกกร.สรุปประเด็นเตรียมเสนอนายกฯในเวทีกรอ. 15 ก.ค.นี้ เตรียมเสนอขอลดราคาน้ำตาลทราย 1-2 บาทต่อก.ก.จากที่ขึ้นราคาไปก่อนหน้านี้ 5 บาทต่อก.ก.เพื่อเข้ากองทุนน้ำตาลใช้หนี้ อ้างลดต้นทุนธุรกิจ พร้อมเสนอสังคายนาภาษีธุรกิจทั้งระบบเทียบประเทศในอาเซียนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและดึงดูดการลงทุน รวมถึงผลกระทบมาตรา 67 ที่ส่อเค้าจะบานปลาย
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เปิดเผยหลังการประชุมกกร.วานนี้ (13ก.ค.) ว่า กกร.ได้สรุปประเด็นที่จะนำไปหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวทีประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.)วันที่ 15 ก.ค.นี้โดยจะหารือเกี่ยวกับการขอให้รัฐบาลช่วยพิจารณาการปรับลดราคาน้ำตาลทรายยโควตา ก.(บริโภคในประเทศ) ลงจากก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลได้ปรับราคาขายหน้าโรงงานไป 5 บาทต่อกิโลกรัมเพื่อนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายไปใช้หนี้ธนาคารเพื่ออการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เพื่อลดภาระให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
“ทางเอกชนได้เสนอมาว่าน่าจะลดลงได้แล้วไปยืดการชำระหนี้กองทุนฯแทนเพราะเห็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี พร้อมกับต้องการให้มีการจัดสรรน้ำตาลเพื่อการส่งออกในส่วนของโควตา ค. (ส่งออก) ให้มีขั้นตอนปฏิบัติง่ายขึ้น” นายอภิศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงผลกระทบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เอกชนเป็นกังวลแม้ว่าขณะนี้จะไม่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจแต่หากมีการแพร่ระบาดในระยะยาวจะส่งผลกระทบได้โดยเฉพาะภาคบริการที่จะกระทบหนักดังนั้น กกร.จึงเห็นชอบให้แต่ละหน่วยงานทำหนังสือแจ้งไปยังสมาชิกในการรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดเช่น มีสถานพยาบาลบริการให้มีการลาหยุดได้โดยไม่หักค่าแรงหากพบว่ามีอาการเป็นไข้และต้องสงสัย เป็นต้น
สำหรับการจำหน่ายพันธบัตรของรัฐบาลในขณะนี้ที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากและขายหมดเพียงไม่ถึง 10 นาทีนั้น นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ถือเป็นนโยบายที่ดีเพราะกำหนดขายให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีเพราะคนกลุ่มนี้อาศัยดอกเบี้ยในการเลี้ยงชีพและไม่กระทบต่อเงินออมที่มีอยู่ในระบบแบงก์แต่อย่างใดเนื่องจากปัจจุบันเงินในธนาคารมีสภาพคล่องค่อนข้างมากอยู่แล้วเงินออกไปเพียง 4-5 หมื่นล้านบาทจึงไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนดอกเบี้ยระยะสั้นก็คงไม่กระทบแต่ระยะยาวอาจจะมีการปรับตัว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.เห็นว่าควรจะลดราคาน้ำตาลลง 1-2 บาทต่อก.ก.เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพราะน้ำตาลถือเป็นต้นทุนภาคธุรกิจส่วนหนึ่งที่สำคัญ พร้อมกันนี้จะขอให้รัฐบาลได้พิจารณาถึงความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรา 67 ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ล่าสุด 4 องค์กรได้ยื่นฟ้อง 8 หน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองสูงสุดและจะมีการนัดไต่สวนคำฟ้องวันที่ 17 ก.ค.นี้โดยเอกชนเห็นว่าหากปัญหานี้บานปลายจะกระทบต่อการลงทุนอย่างหนักหากมีคำสั่งระงับการดำเนินงานของโรงงานชั่วคราวไทยจะสูญเสียเงินลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาทจะสูญเสียรายได้ 3 แสนล้านบาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบถึงการปรับโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับภาคธุรกิจในการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันแต่จะนำไปหารือในเวทีกรอ.ในภาพรวมเนื่องจากเห็นว่าจำเป็นต้องพิจารณาโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับภาคธุรกิจทั้งระบบใหม่หมดโดยจำเป็นต้องเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อความเสมอภาคทางการแข่งขันทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีทีดิน ฯลฯ
“มาตรการภาษีของไทยจำเป็นต้องสังคายนากันใหม่หมด ต้องเปรียบเทียบว่าประเทศคนอื่นเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เราเสียเปรียบ เพราะทุกประเทศเองเขาก็ดูในเรื่องนี้และทำไปก่อนแล้วก็มีเพื่อจะดึงการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นเพราะถึงอย่างไรในปี 2553 การค้าเสรีภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนก็จะมีผลต่อโครงสร้างภาษีใน 5 ประเทศที่ต้องลดนำร่องอยู่แล้วก็ควรจะนำมาดูเลย” นายดุสิตกล่าว
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล กล่าวว่า ภาคเอกชนเคยเสนอขออลดราคาน้ำตาลทรายมาก่อนหน้านี้แล้วซึ่งขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะเลือกอุ้มภาคธุรกิจหรือว่าชาวไร่อ้อย ซึ่งหากรัฐลดราคา 1-2 บาทต่อ ก.ก.คงไม่กระทบฐานะกองทุนน้ำตาลเพราะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการแต่รัฐเองจะต้องมีเงินมาอุดหนุนชั่วคราวให้กับชาวไร่อ้อยหากไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมแน่.
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เปิดเผยหลังการประชุมกกร.วานนี้ (13ก.ค.) ว่า กกร.ได้สรุปประเด็นที่จะนำไปหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวทีประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.)วันที่ 15 ก.ค.นี้โดยจะหารือเกี่ยวกับการขอให้รัฐบาลช่วยพิจารณาการปรับลดราคาน้ำตาลทรายยโควตา ก.(บริโภคในประเทศ) ลงจากก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลได้ปรับราคาขายหน้าโรงงานไป 5 บาทต่อกิโลกรัมเพื่อนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายไปใช้หนี้ธนาคารเพื่ออการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เพื่อลดภาระให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
“ทางเอกชนได้เสนอมาว่าน่าจะลดลงได้แล้วไปยืดการชำระหนี้กองทุนฯแทนเพราะเห็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี พร้อมกับต้องการให้มีการจัดสรรน้ำตาลเพื่อการส่งออกในส่วนของโควตา ค. (ส่งออก) ให้มีขั้นตอนปฏิบัติง่ายขึ้น” นายอภิศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือถึงผลกระทบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เอกชนเป็นกังวลแม้ว่าขณะนี้จะไม่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจแต่หากมีการแพร่ระบาดในระยะยาวจะส่งผลกระทบได้โดยเฉพาะภาคบริการที่จะกระทบหนักดังนั้น กกร.จึงเห็นชอบให้แต่ละหน่วยงานทำหนังสือแจ้งไปยังสมาชิกในการรณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดเช่น มีสถานพยาบาลบริการให้มีการลาหยุดได้โดยไม่หักค่าแรงหากพบว่ามีอาการเป็นไข้และต้องสงสัย เป็นต้น
สำหรับการจำหน่ายพันธบัตรของรัฐบาลในขณะนี้ที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากและขายหมดเพียงไม่ถึง 10 นาทีนั้น นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ถือเป็นนโยบายที่ดีเพราะกำหนดขายให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีเพราะคนกลุ่มนี้อาศัยดอกเบี้ยในการเลี้ยงชีพและไม่กระทบต่อเงินออมที่มีอยู่ในระบบแบงก์แต่อย่างใดเนื่องจากปัจจุบันเงินในธนาคารมีสภาพคล่องค่อนข้างมากอยู่แล้วเงินออกไปเพียง 4-5 หมื่นล้านบาทจึงไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนดอกเบี้ยระยะสั้นก็คงไม่กระทบแต่ระยะยาวอาจจะมีการปรับตัว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.เห็นว่าควรจะลดราคาน้ำตาลลง 1-2 บาทต่อก.ก.เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพราะน้ำตาลถือเป็นต้นทุนภาคธุรกิจส่วนหนึ่งที่สำคัญ พร้อมกันนี้จะขอให้รัฐบาลได้พิจารณาถึงความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรา 67 ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ล่าสุด 4 องค์กรได้ยื่นฟ้อง 8 หน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองสูงสุดและจะมีการนัดไต่สวนคำฟ้องวันที่ 17 ก.ค.นี้โดยเอกชนเห็นว่าหากปัญหานี้บานปลายจะกระทบต่อการลงทุนอย่างหนักหากมีคำสั่งระงับการดำเนินงานของโรงงานชั่วคราวไทยจะสูญเสียเงินลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาทจะสูญเสียรายได้ 3 แสนล้านบาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบถึงการปรับโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับภาคธุรกิจในการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันแต่จะนำไปหารือในเวทีกรอ.ในภาพรวมเนื่องจากเห็นว่าจำเป็นต้องพิจารณาโครงสร้างภาษีเกี่ยวกับภาคธุรกิจทั้งระบบใหม่หมดโดยจำเป็นต้องเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อความเสมอภาคทางการแข่งขันทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีทีดิน ฯลฯ
“มาตรการภาษีของไทยจำเป็นต้องสังคายนากันใหม่หมด ต้องเปรียบเทียบว่าประเทศคนอื่นเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้เราเสียเปรียบ เพราะทุกประเทศเองเขาก็ดูในเรื่องนี้และทำไปก่อนแล้วก็มีเพื่อจะดึงการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นเพราะถึงอย่างไรในปี 2553 การค้าเสรีภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียนก็จะมีผลต่อโครงสร้างภาษีใน 5 ประเทศที่ต้องลดนำร่องอยู่แล้วก็ควรจะนำมาดูเลย” นายดุสิตกล่าว
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล กล่าวว่า ภาคเอกชนเคยเสนอขออลดราคาน้ำตาลทรายมาก่อนหน้านี้แล้วซึ่งขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะเลือกอุ้มภาคธุรกิจหรือว่าชาวไร่อ้อย ซึ่งหากรัฐลดราคา 1-2 บาทต่อ ก.ก.คงไม่กระทบฐานะกองทุนน้ำตาลเพราะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการแต่รัฐเองจะต้องมีเงินมาอุดหนุนชั่วคราวให้กับชาวไร่อ้อยหากไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมแน่.