"กษิต" มีเฮ อนุฯสอบ กกต.เสนอยกคำร้อง เหตุเมียถือหุ้นกู้ไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำขัดกันแหงผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ ม. 265 แต่ต้องลุ้น กกต.เห็นตามหรือไม่ หลัง "สดศรี" มองว่าถ้าบริษัทฯเข้าข่ายเป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐไม่ว่าถือหุ้นอะไรก็ถือว่าผิด
จากกรณีที่ กกต.กำหนดลงมติคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะส.ว.สรรหา ขอให้ตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ สิ้นสุดลง เนื่องจากภรรยาถือครองหุ้นในบริษัท ทางด่วนกรุงเทพในวันที่ 16 ก.ค.นั้น ปรากฎว่า วานนี้ ( 10ก.ค.) ได้มีประชาชนได้โทรศัพท์ เข้ามาที่สำนักงานกกต. ตำหนิกกต.ว่า ทำไมถึงได้นำเรื่องของนายกษิต มาพิจารณาตอนนี้ ซึ่งกำลังจะมีการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ค.ที่จ.ภูเก็ต โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ทำไมไม่เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองกันบ้าง
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าผลการสอบสวนของคณะกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวมีมติเสนอ กกต.ให้ยกคำร้องเนื่องจากมองว่า แม้บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จะเข้าข่ายเป็นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐตามนัยยะมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากการถือครองหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพ จำนวน 100,000 บาท ของภรรยานายกษิต นั้นเป็นการถือครองหุ้นในลักษณะของหุ้นกู้ ที่เป็นเจ้าหนี้ของ บริษัท ซึ่งมีเกณฑ์ในเรื่องการรับประโยชน์ว่า จะได้เป็นเพียงเงินปันผลตามที่กำหนดเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการ แทรกแซง ชี้นำอะไรในบริษัทนั้น ๆ ได้
โดยหุ้นกู้นั้นเปรียบเหมือนกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ที่มีกำหนดระยะเวลาและดอกเบี้ยที่จะได้รับ ทางคณะกรรมการไต่สวนจึงเห็นว่าการถือครองหุ้นดังกล่าว ไม่ได้เข้าข่ายเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่เป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265
ทั้งนี้ความเห็นของคณะกรรมการไต่สวนกรณีหุ้นกู้ ต้องจับตาดูว่า กกต.จะมีมติเลยหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เคยระบุว่า รายงานผลสอบของอนุกรรมการสอบสวน กรณี 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ถือหุ้นนั้น มีประเด็นเรื่องการถือหุ้นกู้ของ ส.ส.รายหนึ่ง ที่กกต.ต้องพิจารณาว่าจะวินิจฉัยเอง หรือส่งให้คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาก่อน แต่ส่วนตัวนั้นมองว่าไม่ว่าจะถือหุ้นใดไม่สำคัญเพราะกฎหมายไม่ได้แยกแยะ แค่ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานกับรัฐก็น่าจะถือว่าผิดแล้ว
นางสดศรี สัตยธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต.มีมติขยายเวลาอีก 15 วัน ในการไต่สวน 44 ส.ส.ถือครองหุ้นในกิจการสื่อและบริษัทที่รับสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 48 และ 265 ของรัฐธรรมนูญ ว่า เพราะอนุกรรมการไต่สวนยังได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งยังขาดที่ส.ส.ที่ยังไม่มาให้ถ้อยคำ แต่ก็ได้รับการติดต่อว่าจะมาให้ถ้อยคำภายใน 7 วัน คาดว่าน่าจะชี้แจงเสร็จ
ส่วนกรณีการถือหุ้นของ 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่กกต.นัดลงมติในวันที่ 14 ก.ค.นั้นนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะมองว่าประเด็นข้อกฎหมายเรื่องหุ้นกู้หรือหุ้นสามัญต้องมีการตีความอีกหรือไม่หากได้หลักฐานชัดเจนก็คงสามารถวินิจฉัยได้ในวันดังกล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับคำวินิจฉัยของ กกต.ที่ให้ 16 ส.ว.พ้นความเป็น สมาชิกภาพ คาดว่าจะสามารถส่งให้ประธานวุฒิสภาได้ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
จากกรณีที่ กกต.กำหนดลงมติคำร้องที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะส.ว.สรรหา ขอให้ตรวจสอบความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ สิ้นสุดลง เนื่องจากภรรยาถือครองหุ้นในบริษัท ทางด่วนกรุงเทพในวันที่ 16 ก.ค.นั้น ปรากฎว่า วานนี้ ( 10ก.ค.) ได้มีประชาชนได้โทรศัพท์ เข้ามาที่สำนักงานกกต. ตำหนิกกต.ว่า ทำไมถึงได้นำเรื่องของนายกษิต มาพิจารณาตอนนี้ ซึ่งกำลังจะมีการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 17-23 ก.ค.ที่จ.ภูเก็ต โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ทำไมไม่เห็นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองกันบ้าง
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าผลการสอบสวนของคณะกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวมีมติเสนอ กกต.ให้ยกคำร้องเนื่องจากมองว่า แม้บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จะเข้าข่ายเป็นบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐตามนัยยะมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากการถือครองหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพ จำนวน 100,000 บาท ของภรรยานายกษิต นั้นเป็นการถือครองหุ้นในลักษณะของหุ้นกู้ ที่เป็นเจ้าหนี้ของ บริษัท ซึ่งมีเกณฑ์ในเรื่องการรับประโยชน์ว่า จะได้เป็นเพียงเงินปันผลตามที่กำหนดเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการ แทรกแซง ชี้นำอะไรในบริษัทนั้น ๆ ได้
โดยหุ้นกู้นั้นเปรียบเหมือนกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ที่มีกำหนดระยะเวลาและดอกเบี้ยที่จะได้รับ ทางคณะกรรมการไต่สวนจึงเห็นว่าการถือครองหุ้นดังกล่าว ไม่ได้เข้าข่ายเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ที่เป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265
ทั้งนี้ความเห็นของคณะกรรมการไต่สวนกรณีหุ้นกู้ ต้องจับตาดูว่า กกต.จะมีมติเลยหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เคยระบุว่า รายงานผลสอบของอนุกรรมการสอบสวน กรณี 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ถือหุ้นนั้น มีประเด็นเรื่องการถือหุ้นกู้ของ ส.ส.รายหนึ่ง ที่กกต.ต้องพิจารณาว่าจะวินิจฉัยเอง หรือส่งให้คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาก่อน แต่ส่วนตัวนั้นมองว่าไม่ว่าจะถือหุ้นใดไม่สำคัญเพราะกฎหมายไม่ได้แยกแยะ แค่ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานกับรัฐก็น่าจะถือว่าผิดแล้ว
นางสดศรี สัตยธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กกต.มีมติขยายเวลาอีก 15 วัน ในการไต่สวน 44 ส.ส.ถือครองหุ้นในกิจการสื่อและบริษัทที่รับสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 48 และ 265 ของรัฐธรรมนูญ ว่า เพราะอนุกรรมการไต่สวนยังได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ซึ่งยังขาดที่ส.ส.ที่ยังไม่มาให้ถ้อยคำ แต่ก็ได้รับการติดต่อว่าจะมาให้ถ้อยคำภายใน 7 วัน คาดว่าน่าจะชี้แจงเสร็จ
ส่วนกรณีการถือหุ้นของ 28 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่กกต.นัดลงมติในวันที่ 14 ก.ค.นั้นนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมจะมองว่าประเด็นข้อกฎหมายเรื่องหุ้นกู้หรือหุ้นสามัญต้องมีการตีความอีกหรือไม่หากได้หลักฐานชัดเจนก็คงสามารถวินิจฉัยได้ในวันดังกล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับคำวินิจฉัยของ กกต.ที่ให้ 16 ส.ว.พ้นความเป็น สมาชิกภาพ คาดว่าจะสามารถส่งให้ประธานวุฒิสภาได้ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย