บลจ.วรรณ เผยครึ่งปีแรก อานิสงส์กองทุนตลาดเงิน-บอนด์เกาหลีใต้ ดันเม็ดเงินกองตราสารหนี้ โตเฉลี่ย 15% ชี้นักลงทุนชอบลงทุนระยะสั้น ผลตอบแทนดี
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น จึงทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้เฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 15% โดยเม็ดเงินได้การกระจายตัวอยู่ในบลจ.ต่างๆ จึงทำให้กองทุนตราสารหนี้ของบริษัทเหล่านี้มีขนาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากการเติบโตของอุตสาหกรรม ได้ส่งผลให้กองทุนรวมตราสารหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้น มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยมาจากกลุ่มนักนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน และกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีเป็นหลักเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดี
ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีแรกกองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ ที่เน้นการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐมีการขยายตัวสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากกองทุนมีสภาพคล่องมีความปลอดภัยสูง และนักลงทุนสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นๆได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่นักลงทุนยังให้ความสนใจเน้นการลงทุนในระยะสั้น 3 - 6 เดือน ทำให้กองทุนรวมมันนีมาร์เกตของบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 200-300 ล้านบาท โดยเป็นการปรับเพิ่มจากการที่นักลงทุนนำเงินเข้ามาลงทุน ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาทำให้ขนาดกองทุนโตตามตลาดหุ้นด้วย
สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีพอร์ตการลงทุนทั้งในหุ้นกู้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาลได้มีนักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนโดยเฉลี่ย 80% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและอีก 20 % เป็นการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่ การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจะไม่ค่อยมีความน่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะมีหุ้นกู้ออกมาให้นักลงทุนได้ร่วมลงทุนเพียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งในช่วงต้นปีนั้น ได้ขายให้แก่นักลงทุนไปถึง 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อ และคาดว่าทั้งปีจะมีหุ้นกู้เอกชนออกมาขายให้นักลงทุนถึง 3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ ที่ออกหุ้นกู้เอกชนมาขายเพื่อต้องการนำเงินไปลงทุนต่อในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทคาดว่ากองทุนรวมจะไม่รับผลกระทบแต่จะไปกระทบต่อลูกค้าเงินฝากแทน
"ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในระยะเวลาที่เท่ากับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่เมื่อเทียบสภาพสภาพคล่องนั้นถือว่าน้อยมาก โดยเมื่อลงทุนแล้วนักลงทุนส่วนใหญ่ จะต้องถือให้ครบกำหนดอายุของตราสาร จึงจะได้รับผลตอบแทนที่มีการกำหนด อีกทั้งการซื้อขายนั้นทำได้ยากกว่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล ที่นักลงทุนมีการซื้อขายในตลาดรองเยอะ"
สำหรับการจัดตั้งกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขนาดของกองทุนตราสารหนี้โตขึ้นด้วย โดยนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในประเทศเลือกที่จะเข้ามาลงทุน เนื่องจากว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับสูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จึงทำให้สินทรัพย์ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าเงินเฟ้อจะยังคงติดลบในช่วงไตรมาส 3 และอาจจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมองว่าปัจจัยในเรื่องของระดับเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเชิงนโยบายจะคงที่ อยู่ที่ระดับ 1.25% ไปจนถึงสิ้นปี 2552 แต่ทั้งนี้ ระดับราคาน้ำมันจะต้องไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงมากกว่า 60 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งราคาอาจจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกิน 10 เหรียญต่อบาร์เรล และจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะกระทบกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนยังให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น จึงทำให้กองทุนรวมตราสารหนี้เฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 15% โดยเม็ดเงินได้การกระจายตัวอยู่ในบลจ.ต่างๆ จึงทำให้กองทุนตราสารหนี้ของบริษัทเหล่านี้มีขนาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากการเติบโตของอุตสาหกรรม ได้ส่งผลให้กองทุนรวมตราสารหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้น มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยมาจากกลุ่มนักนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน และกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีเป็นหลักเนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดี
ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีแรกกองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ ที่เน้นการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐมีการขยายตัวสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากกองทุนมีสภาพคล่องมีความปลอดภัยสูง และนักลงทุนสามารถที่จะสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นๆได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่นักลงทุนยังให้ความสนใจเน้นการลงทุนในระยะสั้น 3 - 6 เดือน ทำให้กองทุนรวมมันนีมาร์เกตของบริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 200-300 ล้านบาท โดยเป็นการปรับเพิ่มจากการที่นักลงทุนนำเงินเข้ามาลงทุน ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาทำให้ขนาดกองทุนโตตามตลาดหุ้นด้วย
สำหรับกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีพอร์ตการลงทุนทั้งในหุ้นกู้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาลได้มีนักลงทุนทยอยเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนโดยเฉลี่ย 80% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและอีก 20 % เป็นการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่ การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจะไม่ค่อยมีความน่าสนใจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะมีหุ้นกู้ออกมาให้นักลงทุนได้ร่วมลงทุนเพียง 1 แสนล้านบาท ซึ่งในช่วงต้นปีนั้น ได้ขายให้แก่นักลงทุนไปถึง 2 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อ และคาดว่าทั้งปีจะมีหุ้นกู้เอกชนออกมาขายให้นักลงทุนถึง 3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ ที่ออกหุ้นกู้เอกชนมาขายเพื่อต้องการนำเงินไปลงทุนต่อในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทคาดว่ากองทุนรวมจะไม่รับผลกระทบแต่จะไปกระทบต่อลูกค้าเงินฝากแทน
"ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในระยะเวลาที่เท่ากับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่เมื่อเทียบสภาพสภาพคล่องนั้นถือว่าน้อยมาก โดยเมื่อลงทุนแล้วนักลงทุนส่วนใหญ่ จะต้องถือให้ครบกำหนดอายุของตราสาร จึงจะได้รับผลตอบแทนที่มีการกำหนด อีกทั้งการซื้อขายนั้นทำได้ยากกว่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล ที่นักลงทุนมีการซื้อขายในตลาดรองเยอะ"
สำหรับการจัดตั้งกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ขนาดของกองทุนตราสารหนี้โตขึ้นด้วย โดยนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในประเทศเลือกที่จะเข้ามาลงทุน เนื่องจากว่า ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับสูงกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จึงทำให้สินทรัพย์ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองว่าเงินเฟ้อจะยังคงติดลบในช่วงไตรมาส 3 และอาจจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยมองว่าปัจจัยในเรื่องของระดับเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเชิงนโยบายจะคงที่ อยู่ที่ระดับ 1.25% ไปจนถึงสิ้นปี 2552 แต่ทั้งนี้ ระดับราคาน้ำมันจะต้องไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงมากกว่า 60 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งราคาอาจจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงไม่เกิน 10 เหรียญต่อบาร์เรล และจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะกระทบกับอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย