xs
xsm
sm
md
lg

How to save ASTV?

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้อ่าน “ASTVผู้จัดการ” หลังผู้เขียนต้องห่างหายไปจากหน้ากระดาษถึงสองศุกร์ติดต่อกัน ซึ่งผู้เขียนขอถือโอกาสโยนความผิดให้กับสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวยเพราะปกติแล้ว ผู้เขียนถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ผู้มีสุขภาพแข็งแรงไม่เคยขาดงานสักเท่าไร มาประจวบเหมาะกับการที่เอเอสทีวีเข้าสู่โหมดการเปลี่ยนแปลงผังรายการแบบฉับพลันทันด่วนก็ทำเอาตารางรวนไปพอสมควร แต่ต่อไปนี้คงจะลงตัวหมดแล้ว

จบจากคำแก้ตัวขอเข้าเรื่องที่ต้องการหยิบมาพูดคุยกันสัปดาห์นี้ เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวที่สุด คือเรื่องสถานะของสถานีโทรทัศน์ “ASTV” ซึ่งถือว่าเข้าสู่รอบล่าสุด ที่สถานีฯ ต้องเผชิญมรสุมฝืดเคืองด้านการเงิน ทั้งขาดงบประมาณในการจะนำมาเป็นค่าจ่ายให้โทรทัศน์ช่องนี้ออกอากาศต่อไปได้ และขาดงบสำหรับจ่ายเงินเดือนบุคลากร ซึ่งประเด็นหลังแม้จะสร้างความเดือดร้อนให้ฝ่ายข่าวของเอเอสทีวีพอสมควร แต่การตัดสินใจยืนหยัดจะกินข้าวหม้อเดียวกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เป็นเครื่องพิสูจน์จิตใจของพวกเราแล้วว่า “อดมื้อกินมื้อแต่ก็อิ่มใจที่ได้ทำงานให้กับพี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของทีวีช่องนี้”

มองในแง่ดีถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีไม่ใช่สถานีเฉพาะกิจที่มีไว้เชลียร์การเมืองหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล สถานการณ์การเงินของเราก็ยังลำบากเท่าๆ เดิม (55+) แต่ถ้าจะมองอีกด้านที่จะพอให้เกิดคุณูปการได้อยู่บ้าง ก็คือ ทำอย่างไรเราจะรักษาทีวีช่องนี้ไว้ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เหมือนๆ กับที่คนอังกฤษเขาคอยตั้งคำถามว่า How to save BBC? แต่ของเขาจะเป็นการรักษาในเชิงคุณภาพและอิสระในการนำเสนอ ขณะที่เอเอสทีวีต้องการความช่วยเหลือที่จะครอบคลุมไปถึงการที่จะทำให้ทีวีจอไม่มืดด้วย และขับเคลื่อนต่อไปได้

ในบ้านเราสถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่เป็นประเภทที่รัฐยอมให้เอกชนเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุโทรทัศน์โดยกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่รัฐ เพื่อการจัดทำบริการสาธารณะด้านการสื่อสารวิทยุโทรทัศน์ แต่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สถานีเหล่านี้ก็ยังคงถูกจำกัดการครอบครองอยู่ในมือกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มที่เข้ามาแสวงหากำไรบนทรัพยากรของคนทั้งประเทศ ด้วยการขายโฆษณาแพงๆ แต่จ่ายค่าสัมปทานต่ำๆ

โดยรายงานอ้างข้อมูลจาก บริษัท นีลเส็น มีเดีย รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ได้ระบุถึง ตัวเลขรายได้จากการขายโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ในช่วงปี 2543-2546 โดยแบ่งตามสถานีโทรทัศน์แต่ละแห่ง ปรากฏว่าทั้งช่อง 7 และช่อง 3 ต่างสลับกันครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด อาทิ ปี 2543 รายได้ค่าโฆษณาของช่อง 3 เท่ากับ 9,192 ล้านบาท และปี 2546 เพิ่มเป็น 10,859 ล้านบาท

ขณะที่ช่อง 7 ในปี 2543 อยู่ที่ 7,858 ล้านบาท และปี 2546 เพิ่มเป็น 12,030 ล้านบาท ขณะที่สถานีโทรทัศน์เหล่านี้มีภาระการจ่ายค่าสัมปทานรัฐที่ต่ำผิดปกติ ตามสัดส่วนดังนี้ ช่อง 3 สัมปทาน 30 ปี (2533-2563) 3,207 ล้านบาท, ช่อง 7 สัมปทาน 25 ปี (2541-2566) 4,670 ล้านบาท (ประชาชาติธุรกิจ, 4 มีค.47) ส่วนช่องที่เหลืออย่างช่อง 9 อสมท. และช่อง 11 ก็ต้องไม่ลืมว่า รัฐในฐานะผู้มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งในรูปของการเข้าไปถือหุ้นใหญ่บ้าง (อสมท.) หรือกำกับดูแลผ่านบางหน่วยงานบ้าง (สสท.11) ทำให้สื่อเหล่านี้ยังคงถูกขับเคลื่อนให้สอดคล้องกับนโยบายของผู้มีอำนาจที่ส่งตัวแทนเข้ามา ควบคุมทิศทางการนำเสนอข่าวสาร

และแม้ว่าวันนี้ เมืองไทยจะมีทีวีสาธารณะแล้ว ก็ต้องยอมรับความจริงอีกประการว่า องค์กรอย่างทีวีไทยทีวีสาธารณะ ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะสามารถพิสูจน์ตนถึงการประกาศตัวเป็นทีวีสาธารณะของประชาชน ดังปณิธานที่ตั้งไว้

ถ้างั้นแล้ว สถานีโทรทัศน์ช่องไหนที่มีที่เหลือพอจะให้เป็นของพี่น้องประชาชนบ้าง การที่ลุกขึ้นมาเขียนบทความวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะลุกขึ้นมายกตัวเองว่า เอเอสทีวีเป็นช่องโทรทัศน์ที่ดีที่สุด และประเสริฐสุดในบรรดาช่องทีวีในยุคปัจจุบัน แต่จากประสบการณ์ทำงานที่ได้รับจากที่นี่ ทำให้ผู้เขียนกล้าที่จะลุกขึ้นมาการันตี ความจริงประการหนึ่ง คือ สถานีเอเอสทีวีดำเนินงานบนพื้นฐานความจริงใจ ที่จะผลักตัวเองให้กลายเป็น ทีวีของประชาชน อย่างแท้จริง ด้วยการเปิดทางให้ประชาชนรายเล็ก บริษัทห้างร้านรายย่อยเข้ามามีส่วนช่วยขับเคลื่อนเอเอสทีวี แทนที่จะเหมาโหลขายให้กับกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แล้วปล่อยให้ธุรกิจนั้นเข้ามามีอิทธิพลครอบงำการทำงานของชาวเอเอสทีวีอย่างที่อื่นๆ

บนแนวคิดจะผดุงไว้ซึ่งอิสระของการทำงาน และยอมตกเป็น ทาสของประชาชน เท่านั้น ทำให้ผู้บริหารเอเอสทีวีได้ผุดแผนการตลาดที่จะทำให้เอเอสทีวีออกอากาศต่อไปได้ ด้วยสารพัดวิธีการ อาทิ เปิดตลาดสินค้าในเครือพันธมิตรฯ ไล่ตั้งแต่ กะปิ น้ำปลา ข้าวสาร ผงซักฟอก หรือแม้แต่การขายข่าวสั้นผ่านการสมัคร SMS ข่าวเดือนละ 200 บาท เรื่องแบบนี้ ถ้าใครไม่มีความเฉลียวใจก็คงไม่ทราบถึงแนวคิดอันแยบคลายที่แฝงอยู่เบื้องหลัง เพราะแผนงานสำคัญเหล่านี้ ล้วนมีเป้าหมาย คือการจะปลูกฝังให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของ และร่วมหวงแหนสถานีข่าวแห่งนี้ไปด้วย

ประการที่สอง การทำงานของเอเอสทีวี ในการแตกไลน์ไปขายสินค้าและบริการอื่นๆ ในเครือ ทำให้ผู้เขียนพลันนึกไปถึงธุรกิจประเภทห้างค้าปลีกข้ามชาติ ธุรกิจจำพวกนี้ มีการทำรายได้ในแต่ละปีไม่น้อย โดยจากข้อมูลในรายงานของ The European Retail Rankings รายงานว่า

ห้างคาร์ฟู (Carrefour Group) ของยุโรป มียอดขายเฉพาะปีเดียว (ค.ศ.1999) สูงถึง 52,196 ล้านเหรียญ หรือ 2.34 ล้านล้านบาท โดยมีสาขาทั่วโลกมากถึง 9,000 แห่ง กระจายตัวอยู่ใน 25 ประเทศ โดยในเอเชีย คาร์ฟูขยายสาขาไปใน 8 ประเทศ และในไทยมีมากกว่าไทย 15 แห่ง (ค.ศ.1999 ) ส่วนกลุ่ม เทสโก้ ของอังกฤษมียอดขายคิดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก โดยมียอดขาย 30,404 ล้านเหรียญ หรือ 1.36 ล้านล้านบาท (เท่ากับรายได้จากการส่งออกทั้งปีของไทย) กลุ่มเทสโก้ เป็นกลุ่มทุนข้ามชาติที่มาแรงที่สุด และก้าวร้าวที่สุดในการเจาะพื้นที่ใจกลางเมือง โดยเปิดสาขามากถึง 36 แห่งทั่วประเทศแล้วเมื่อปี 2544 และมีแผนที่จะขยายอย่างต่อเนื่องปีละ 6 แห่ง (กมล กมลตระกูล, ยักษ์ค้าปลีกข้ามชาติกับหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองวิถีชีวิตชุมชน เผยแพร่ใน http://www.geocities.com/kamoltrakul_kamol/articles5.html

ทำให้ผู้เขียนคิดเล่นๆ ว่า แทนที่เราจะปล่อยให้ห้างค้าปลีกเหล่านี้ไปซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตกะปิ น้ำปลา ในบ้านเรา แล้วฉวยโอกาสเอาฉลากชื่อห้างตนเองมาปิดทับขายทำกำไร หอบเงินกลับบ้านในยุโรปปีละเป็นหมื่นๆ ล้าน ลองผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้บริการสินค้าในเครือพันธมิตรฯ หรือเอเอสทีวีเท่านี้ก็จะก่อประโยชน์หลายทาง กล่าวคือ เงินทองไม่รั่วไหลไปนอกประเทศ บางส่วนยังถูกนำไปหมุนช่วยต่อลมหายใจให้สถานีข่าวของประชาชน และเป็นหนทางช่วยเหลือที่จะส่งอานิสงส์เป็นลูกโซ่ไปถึงผู้ผลิตที่มีใจรักชาติ และร่วมอุดมการณ์เดียวกันด้วย ในนามพันธมิตรฯ ด้วยแล้ว แค่นี้เราก็มีวิธีจะทำให้สถานีข่าวแห่งนี้ทำงานได้ต่อไปโดยไม่ต้องง้อทุนจากนักธุรกิจใหญ่ นักการเมือง หรือแม้แต่รัฐบาล

ประการที่สุดท้าย ผู้เขียนขอชื่นชมหลักการทางการตลาดจากแนวคิดขายของผ่านตราสัญลักษณ์ของพันธมิตรฯ หรือเอเอสทีวีที่ตีโจทย์การตลาดแตกละเอียด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เป้าหมายการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าทั่วไปในท้องตลาด จุดสูงสุดคือ ต้องการสร้างความภักดีที่ผู้บริโภคพึงมีต่อตัวสินค้า (Brand loyalty) และการจะเป็นเช่นนั้นได้ สินค้าทั่วไปอาจจะต้องใช้ระยะเวลาตลอดชั่วอายุผู้ขาย แต่กับสินค้าในเครือเอเอสทีวี หรือเครือพันธมิตรฯ แล้ว ต้องยอมรับว่า ความรัก และความภักดีที่มีให้กันในหมู่ของคนที่ร่วมการต่อสู้ และผ่านการเคลื่อนไหวมาแล้ว 2 รอบ ตั้งแต่ปี 2548 -2552 ทำให้เกิดปรากฏการณ์พิเศษเหล่านี้ได้ไม่ยาก และกลายเป็นเรื่องชินตา

ทุกครั้งที่เห็นแฟนๆ ชาวเอเอสทีวี หรือพันธมิตรฯ ยอมเดินทางไกลๆ นั่งรถสามล้อ แท็กซี่ หรือโหนรถเมล์ ขับรถเบนซ์ มุ่งหน้ามาบ้านเจ้าพระยาเพื่อมาแบกข้าวสารเอเอสทีวีไปหุงกินที่บ้านอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ ที่ได้ช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนให้องค์กรเล็กๆ แห่งนี้อยู่รอด

สุดท้าย คงต้องฝากผู้อ่าน ใครมีหนทางในการช่วยรักษาทีวีของประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัยได้ต่อๆ ไป สามารถจะร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้ใน manageronline ได้ อย่างน้อยก็ถือว่า เรามาร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ เพื่อแบ่งเบาภาระแกนนำพันธมิตรฯ ของเราให้ท่านได้เอาเวลาไปสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นได้เร็วๆ เสียที
กำลังโหลดความคิดเห็น