อ่านคอลัมน์ที่ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เขียนว่า “หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดทำลายพันธมิตรฯ” แล้วสะอึกเลย
เมื่อถามความเห็นไปยัง “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล” ประมุขแห่งบ้านพระอาทิตย์ เขาพยักหน้ารับช้าๆ และย้ำว่า
“ใช่...หยุดทำร้ายพันธมิตรฯ”
แม่ทัพใหญ่พันธมิตรฯ เจ้าของความคิด “หยุดทำร้าย – หยุดทำลายพันธมิตรฯ” มีสุขภาพแข็งแรงฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมาก ตอนนี้แทบไม่มีเค้าของคนป่วยให้เห็น...คนดีพระคุ้มครองเสมอ
เท่าที่เห็นตอนนี้คุณสนธิ มักใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งสมาธิ – ไหว้พระ – สนทนาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน และบางครั้งก็เห็นนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ แต่ทุกๆ เช้าจะต้องเดินออกกำลังกายรอบบ้านพระอาทิตย์ เดินๆ ไปก็แวะทักทายน้องๆ นักข่าวบ้าง ทักทายพี่น้องพันธมิตรฯ ที่แวะมาเยี่ยมบ้าง หรือบางทีก็ง่วนอยู่กับการดูต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกไว้อย่างหนาแน่นรอบๆ บ้านพระอาทิตย์
ไม่มีคราบความครุ่นคิดเคืองแค้นใครแม้แต่น้อยในตัวตนคนชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล... ชายวัย 62 ปีที่ถูกห่ากระสุนร่วงหล่นใส่นับร้อยๆ นัด แต่รอดตายราวปาฏิหาริย์?
“เจ็บภายนอกใช้ยารักษาช่วย... ส่วนเจ็บภายในใช้ธรรมะรักษาดี เป็นยาขนานเอก” คุณสนธิบอกกับทุกคนอย่างนี้เสมอๆ
“คุณสนธิสวมพระอะไร” พวกเราถามบ้าง เมื่อเห็นคุณสนธิเริ่มสดชื่นขึ้น
“พระบารมี” คุณสนธิตอบสั้นๆ แล้วโบกมือไล่ ไม่ให้ถามเซ้าซี้อีก และว่า “ของแบบนี้ไม่พูดกันเยอะ…อยู่ที่ใจ” พูดจบก็เอามือตบเบาๆ ที่หัวใจสองสามที เป็นท่วงท่าคุ้นชินของลูกจีนรักชาติคนนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2548 ครั้งนั้นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดินหน้าออกมาจากช่อง 9 อสมท. เพื่อจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ วันนั้นผู้คนมากมายไม่รู้มาจากไหนแห่มาฟังรายการที่เพิ่งถูกระบอบทักษิณอเปหิออกมาจากสถานีโทรทัศน์กันเนืองแน่น
นี่คือจุดเริ่มต้นของ “เทียนแห่งธรรม” เล่มแรกที่จุดขึ้นเพื่อส่องสว่างกลางใจคนไทย ในวาระ “กู้ชาติ” พร้อมๆ กับการประกาศ “เราจะสู้เพื่อในหลวง”
คุณสนธิขึ้นเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์เหมือนครูใหญ่สอนหนังสือ เป็นนาทีที่เทียนเล่มน้อยถูกจุด และติด จากนั้นก็ต่อๆ กันไป จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง จากเทียนเล่มหนึ่งสู่เทียนอีกเล่มหนึ่ง และแล้วในที่สุดแสงเทียนแห่งปัญญาก็สว่างไสวระยิบระยับไปทั่วแคว้นแดนสยาม
นั่นคือการกำเนิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกองทัพนักสู้กู้ชาติที่ประกาศยุทธการ “โค่นระบอบทักษิณ กินเมือง” และเปิดหน้าท้ารบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของรัฐบาลไทยรักไทย ที่ถูกอาวุธคมกริบอันมีนามว่า “ความจริง” เฉือดเฉือนประหัตประหารจนแดดิ้น และหนีไปกบดานเลียแผลอยู่ลอนดอน เมื่อถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
หลังจากนั้นแกนนำพันธมิตรฯ หันหลังกลับปักหลักเล่าความจริงประเทศไทยต่อไปที่ ASTV
การรัฐประหารที่เริ่มต้นด้วยความเข้มข้น และถดถอยน้อยฤทธิ์หมดเรี่ยวหมดแรงลงมาตามลำดับ เป็นผลให้เกิดปัญหามากมายในสังคมไทย และเป็นการเปิดฉาก “สงครามแย่งชิงพลเมือง” ขยายตัวลามไปสู่ “สงครามเสื้อหลากสี”
จนถึงบัดนี้ในปี 2552 กับทักษิณผู้เคียดแค้น พร้อมบริวารที่ดิ้นสู้ทู่ซี้ไม่ยอมถอย ก็พา “กองโจรเสื้อแดง” เผาบ้านเผาเมืองพินาศย่อยยับเพื่อ “ทักษิณ”
เพราะคนคนเดียวกับเงินสกปรกของเขาที่ล่อตาล่อใจ ทำให้ความวุ่นวายในบ้านเมืองร้อนระอุ และประเทศของเรากำลังนับถอยหลังก้าวเข้าสู่ “สงครามกลางเมือง” !!!
ขณะที่การต่อสู้ยกใหม่กำลังคอยสัญญาณจากนายใหญ่ ที่ปักหลักเลียแผลในต่างแดน โดยมี “จักรภพ เพ็ญแข” ด้อมๆ มองๆ อยู่ละแวกประเทศเพื่อนบ้าน รอจังหวะเข้ามาก่อการในทีเผลอ และการรวมตัวกันของกลุ่มกองโจรเสื้อแดงเล็กๆ น้อยๆ พอไม่ให้ตกกระแส
ในช่วงพักยกอย่างนี้แทนที่จะเร่งแก้ไขเศรษฐกิจ และปัญหาสังคม แต่พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย – ฝ่ายค้านหัวเดียวกระเทียมลีบ วิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้จงได้
พวกเขาชี้นิ้วกล่าวหาว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลผลิตของเผด็จการทหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่คนร่างล้วนแล้วแต่เป็นคนดี และผ่านการลงประชามติมาจากประชาชน
แต่ด้วยข้อกฎหมายที่เคร่งครัดและเด็ดเดี่ยวในการกุดหัวคั่วแห้ง “นักโกงการเลือกตั้ง” ทำให้สังคมการเมืองไทยในวงจรอุบาทว์ไม่ชอบใจนัก กระสือการเมืองเหล่านี้จึงกระหายและกระเหี้ยนกระหือรือที่จะรื้อ จะทิ้งขว้าง โดยเฉพาะเรื่องการยุบพรรค – การตัดสิทธิการเมือง 5 ปี – สมาชิกสภาผู้แทนฯ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ และ สุดท้ายก็ร้องกระจองอแงให้ “นิรโทษกรรม” บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109
เอาละสิ...เมื่อมากันอีหรอบนี้ บ้านเมืองก็วุ่นหมุนติ้วเป็นลูกข่าง สภาพการเมืองในปัจจุบันจึงเละเหมือนขี้เด็กอ่อน!!!
ทำไปทำมาคล้ายว่าจะคิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก วันดีคืนดีก็เลย “หยุดทำร้ายประเทศไทย” เสียเลย
ล่าสุดสวนดุสิตโพล ไปสำรวจความคิดเห็นประชาชน และมากกว่าครึ่งมองว่า นักการเมืองนั่นละตัวดี เป็นคนทำร้ายประเทศไทย ถัดมาคือ “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง”
ซวยละสิ...ยุ่งตายห่า...หมาต๋าเห็นแล้วยิ้ม...จากนักสู้กู้ชาติ ผดุงศาสนาและรักษาราชบัลลังก์ ทำไปทำมากลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาชาวบ้านชาวช่องไปเสียฉิบ
ร้ายกว่านั้น คือ เครื่องแบบของนักสู้กู้ชาติกลายเป็นสีเสื้อการเมืองที่คนกลุ่มหนึ่งเอาไปเปรียบคู่มวยกับสีแดง ทั้งๆ ที่การต่อสู้ ความมุ่งมั่น และเจตนารมณ์ต่างกันราวฟ้า กับเหว
พันธมิตรฯ สู้เพื่อประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ส่วนกองโจรเสื้อแดงสู้เพื่อ “ทักษิณ”
เคยถามพี่คำนูณ สิทธิสมาน ว่า ทำไมเรื่องราวมันกลับตาลปัตรแบบนี้ละ!!!
คุณพี่คำนูณ ตอบเสียงเข้มว่า ถ้าวันนั้นไม่มี “ใครบางคน” มาปิดรายการของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ช่อง 11 สทท.หลังรัฐประหาร จะไม่มีเรื่องเลวร้ายเหมือนในวันนี้เลย
“เพราะถ้าวันนั้นคุณสนธิได้ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงที่ช่อง 11 บอกกล่าวกับประชาชนทั้งประเทศให้ได้รับรู้ถึงการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ เพียง 3 เดือนเท่านั้น ผู้คนจะหูตาสว่างและไม่ถูกหลอกมาเป็นเครื่องมือเผาบ้านเผาเมืองเพื่อให้ตัวเองหลุดคดีคอร์รัปชัน และเอาเงินที่โกงชาติกลับสู่กระเป๋าของมัน” พี่คำนูณว่า
เมื่อเรื่องราวไม่เป็นอย่างใจเรานึก กาลต่อมาคุณสนธิจึงกลับคืนสู่ ASTV และจัดรายการตามปกติ จนพรรคพลังประชาชน นอมินีทักษิณผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และจะเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของใครคนหนึ่งซึ่งห่างไกลจากคำว่า ประชาชนเสียเหลือเกิน
วันนั้น “25 พฤษภาคม 2551” พันธมิตรฯ ออกมาขุดรากถอนโคนโค่นระบอบทักษิณอีกครั้ง พร้อมปกป้องรัฐธรรมนูญของเราให้รอดพ้นจากนักการเมืองสารเลวให้จงได้
การต่อสู้ยาวนาน 193 วัน เป็นความทรหดอดทนของพันธมิตรฯ ทั้งผอง ทั้งถูกแดดเผา ตากฝน ฝ่าดงระเบิด เสี่ยงภัย และเสียอวัยวะกับชีวิต
แต่พันธมิตรฯ ก็ยังยืนหยัดด้วยวิธีสันติ อหิงสา การเดินขบวนไปโน่นมานี่ และไปหยุดที่ “ทำเนียบฯ” ไม่ใช่เพราะบ้าระห่ำ เอาแต่ใจ ไม่นำพาความหายนะของบ้านเมือง
แต่ทำไปเพราะจะสู้กับนักการเมืองขี้โกง ที่กำลังพล่าผลาญแผ่นดินไทย เมื่อระบบรัฐสภาฯ ถูกพันธนาการด้วย “น้ำเงิน” จนเกิดปรากฏการณ์พวกมากลากไป บรรดานักสู้กู้ชาติผู้ไม่ยอมเจ็บไม่ยอมตาย จึงใช้การเดินขบวนประท้วงตามกรอบกฎหมาย เพื่อ “ขับไล่” ทุนสามานย์ให้ออกไปจากสารบบ...ผิดด้วยหรือที่รักชาติจนกล้าสู้
วันนั้นพวกเราต้องต่อสู้กับผู้บริหารประเทศที่ซื่อต่อคนคดและทรยศกับเพื่อนร่วมชาติ พวกเขาตักตวงผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองจนถึงกับกล้าขายชาติบ้านเมืองให้กับพวกต่างด้าวท้าวต่างแดน
วันคืนแห่งการต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยใสสะอาด และเดินหน้าแข็งแกร่งต่อไปเพื่อลูกหลานของเรา เป็นวันคืนเหนื่อยล้าที่พวกเราถูกตำรวจกดดันไม่เว้นแต่ละวัน
ไม่ใช่เป็นม็อบมีเส้นอย่างที่ใครบางคนกล่าวหาลมๆ แล้งๆ แต่เราถูกล้อมหน้าล้อมหลังวันแล้ววันเล่า ทว่าพวกเราก็รอดมาได้เพราะแรงใจของประชาชนที่หลั่งไหลมาร่วมอุดมการณ์...ตำรวจ-ทหาร กลัวใจประชาชนคนจริงต่างหาก
การต่อสู้ของมวลชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศจนเป็นคลื่นมหาชน ได้ยกระดับการกดดันรัฐบาลนอมินีทักษิณให้ลาออกไปเริ่มเข้มข้นขึ้น จากวันเป็นเดือน และผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดรัฐบาลนอมินีหน้าด้านก็ยังแข็งขืน สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจไป “ดอนเมือง” กับ “สุวรรณภูมิ”
....ผลก็เป็นอย่างที่เห็นกัน...คนเข้าใจก็ดีไป...แต่คนที่ไม่เข้าใจ ไม่ฟังเหตุผลก็ด่าว่าเราเหมือนหมูเหมือนหมา
แต่แล้ว... พันธมิตรฯ ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกหนจนได้ คราวนี้เรามีรัฐบาลพลิกขั้วทันทีหลังจากเกิดการยุบพรรคพลังประชาชน
จากนั้นเราก็กลับบ้านคืนเรือนประกอบสัมมาอาชีวะตามปกติ จะมีพบปะกันบ้างตามประสาพันธมิตรฯทั้งผองเป็นพี่น้องกันด้วย “คอนเสิร์ตการเมือง” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนรอยยิ้ม และมิตรไมตรี
ขณะที่เราเดินสายไปกับเสียงหัวเราะ และรัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังเร่งแก้ไขปัญหาบ้านเมืองขมีขมัน เราก็พบว่าทักษิณเร่งเครื่อง “ทำร้ายประเทศไทย” ด้วยการก่อกำเนิดกลุ่มเสื้อแดง
ในเมื่อมีเหลือง-ธรรมะได้ ก็จะมีสีแดงบ้างใครจะทำไม!!!
ความแค้นของทักษิณ หัวหน้าเสื้อแดง ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟแทบกลายเป็นจุล ดีที่บ้านเรามี “องค์พระสยมบรมราชัญขวัญหล้า เปล่งบุญญาสมสง่าบารมี”
ไม่งั้นละก้อ... ป่านนี้นายกรัฐมนตรีคนดี หาชีวิตไม่แล้ว!!!
ความโกลาหลในบ้านเมืองทำให้คนไทยส่วนหนึ่งหงุดหงิด และหันรีหันขวาง กอรปกับเศรษฐกิตกต่ำ เลยเหมารวมไปว่า ไอ้เสื้อเหลืองกับไอ้เสื้อแดง มันทำบ้านเมืองพินาศฉิบหาย ต้องละลายมันออกไปเสียจากสังคมไทย นั่นละเทศกาลเสื้อหลากสี และ “หยุดทำร้ายประเทศไทย” จึงตามออกมา
โครงการ “หยุดทำร้ายประเทศไทย” นี้ดีไม่มีเสีย แต่มีคำถามคาใจอยากได้คำตอบว่า จะบอกให้ใครหยุดทำร้ายประเทศไทยกันหรือ?
ระหว่าง ก. ทักษิณ ข. พจมาน ค. ลูกทั้งสามและนักร้องคนนั้น ง. บริวารของทักษิณที่เลี้ยงได้ด้วยเงินกับอำนาจ จ. สื่อมวลชนจอมบิดเบือนที่สยบยอมให้กับเศษเงินทักษิณ ฉ. ข้าราชการ – ทหาร –ตำรวจ ที่กระหายเงินส่วนแบ่งสองหมื่นหกพันล้านบาทที่ทักษิณดำริจะแบ่งให้ ช. คนไทยขี้หงุดหงิดชอบหนีปัญหา และซ. พันธมิตรฯ ผู้มุ่งมั่นการเมืองใหม่
ช่วยๆ กันหาคำตอบให้ที ได้แล้วส่งคำตอบใส่ซองไปที่รัฐบาล หรือกองทัพบก ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น ไม่ต้องส่งมาที่นี่ เพราะเตรียมฝึกร้องเพลงขึ้นเวทีครบรอบ 1 ปี พันธมิตรฯ 193 วัน กับสี่สาวดาวเต้นบ้านพระอาทิตย์
แต่ระวังดีๆ ช่วงนี้อาวุธสงครามเล็ดลอดออกมาเยอะ เดี๋ยวพาลไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจะโดน “ทหารขี้ฉ้อ” บางคนสมคบกับ “ คุณยาย 18 มงกุฎ” ผีข้างวัง...ดักยิงทิ้งไม่รู้ด้วยนะเออ.
เมื่อถามความเห็นไปยัง “คุณสนธิ ลิ้มทองกุล” ประมุขแห่งบ้านพระอาทิตย์ เขาพยักหน้ารับช้าๆ และย้ำว่า
“ใช่...หยุดทำร้ายพันธมิตรฯ”
แม่ทัพใหญ่พันธมิตรฯ เจ้าของความคิด “หยุดทำร้าย – หยุดทำลายพันธมิตรฯ” มีสุขภาพแข็งแรงฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมาก ตอนนี้แทบไม่มีเค้าของคนป่วยให้เห็น...คนดีพระคุ้มครองเสมอ
เท่าที่เห็นตอนนี้คุณสนธิ มักใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนั่งสมาธิ – ไหว้พระ – สนทนาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน และบางครั้งก็เห็นนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ แต่ทุกๆ เช้าจะต้องเดินออกกำลังกายรอบบ้านพระอาทิตย์ เดินๆ ไปก็แวะทักทายน้องๆ นักข่าวบ้าง ทักทายพี่น้องพันธมิตรฯ ที่แวะมาเยี่ยมบ้าง หรือบางทีก็ง่วนอยู่กับการดูต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกไว้อย่างหนาแน่นรอบๆ บ้านพระอาทิตย์
ไม่มีคราบความครุ่นคิดเคืองแค้นใครแม้แต่น้อยในตัวตนคนชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล... ชายวัย 62 ปีที่ถูกห่ากระสุนร่วงหล่นใส่นับร้อยๆ นัด แต่รอดตายราวปาฏิหาริย์?
“เจ็บภายนอกใช้ยารักษาช่วย... ส่วนเจ็บภายในใช้ธรรมะรักษาดี เป็นยาขนานเอก” คุณสนธิบอกกับทุกคนอย่างนี้เสมอๆ
“คุณสนธิสวมพระอะไร” พวกเราถามบ้าง เมื่อเห็นคุณสนธิเริ่มสดชื่นขึ้น
“พระบารมี” คุณสนธิตอบสั้นๆ แล้วโบกมือไล่ ไม่ให้ถามเซ้าซี้อีก และว่า “ของแบบนี้ไม่พูดกันเยอะ…อยู่ที่ใจ” พูดจบก็เอามือตบเบาๆ ที่หัวใจสองสามที เป็นท่วงท่าคุ้นชินของลูกจีนรักชาติคนนี้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2548 ครั้งนั้นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดินหน้าออกมาจากช่อง 9 อสมท. เพื่อจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ วันนั้นผู้คนมากมายไม่รู้มาจากไหนแห่มาฟังรายการที่เพิ่งถูกระบอบทักษิณอเปหิออกมาจากสถานีโทรทัศน์กันเนืองแน่น
นี่คือจุดเริ่มต้นของ “เทียนแห่งธรรม” เล่มแรกที่จุดขึ้นเพื่อส่องสว่างกลางใจคนไทย ในวาระ “กู้ชาติ” พร้อมๆ กับการประกาศ “เราจะสู้เพื่อในหลวง”
คุณสนธิขึ้นเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์เหมือนครูใหญ่สอนหนังสือ เป็นนาทีที่เทียนเล่มน้อยถูกจุด และติด จากนั้นก็ต่อๆ กันไป จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง จากเทียนเล่มหนึ่งสู่เทียนอีกเล่มหนึ่ง และแล้วในที่สุดแสงเทียนแห่งปัญญาก็สว่างไสวระยิบระยับไปทั่วแคว้นแดนสยาม
นั่นคือการกำเนิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกองทัพนักสู้กู้ชาติที่ประกาศยุทธการ “โค่นระบอบทักษิณ กินเมือง” และเปิดหน้าท้ารบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ของรัฐบาลไทยรักไทย ที่ถูกอาวุธคมกริบอันมีนามว่า “ความจริง” เฉือดเฉือนประหัตประหารจนแดดิ้น และหนีไปกบดานเลียแผลอยู่ลอนดอน เมื่อถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
หลังจากนั้นแกนนำพันธมิตรฯ หันหลังกลับปักหลักเล่าความจริงประเทศไทยต่อไปที่ ASTV
การรัฐประหารที่เริ่มต้นด้วยความเข้มข้น และถดถอยน้อยฤทธิ์หมดเรี่ยวหมดแรงลงมาตามลำดับ เป็นผลให้เกิดปัญหามากมายในสังคมไทย และเป็นการเปิดฉาก “สงครามแย่งชิงพลเมือง” ขยายตัวลามไปสู่ “สงครามเสื้อหลากสี”
จนถึงบัดนี้ในปี 2552 กับทักษิณผู้เคียดแค้น พร้อมบริวารที่ดิ้นสู้ทู่ซี้ไม่ยอมถอย ก็พา “กองโจรเสื้อแดง” เผาบ้านเผาเมืองพินาศย่อยยับเพื่อ “ทักษิณ”
เพราะคนคนเดียวกับเงินสกปรกของเขาที่ล่อตาล่อใจ ทำให้ความวุ่นวายในบ้านเมืองร้อนระอุ และประเทศของเรากำลังนับถอยหลังก้าวเข้าสู่ “สงครามกลางเมือง” !!!
ขณะที่การต่อสู้ยกใหม่กำลังคอยสัญญาณจากนายใหญ่ ที่ปักหลักเลียแผลในต่างแดน โดยมี “จักรภพ เพ็ญแข” ด้อมๆ มองๆ อยู่ละแวกประเทศเพื่อนบ้าน รอจังหวะเข้ามาก่อการในทีเผลอ และการรวมตัวกันของกลุ่มกองโจรเสื้อแดงเล็กๆ น้อยๆ พอไม่ให้ตกกระแส
ในช่วงพักยกอย่างนี้แทนที่จะเร่งแก้ไขเศรษฐกิจ และปัญหาสังคม แต่พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย – ฝ่ายค้านหัวเดียวกระเทียมลีบ วิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้จงได้
พวกเขาชี้นิ้วกล่าวหาว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลผลิตของเผด็จการทหาร ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่คนร่างล้วนแล้วแต่เป็นคนดี และผ่านการลงประชามติมาจากประชาชน
แต่ด้วยข้อกฎหมายที่เคร่งครัดและเด็ดเดี่ยวในการกุดหัวคั่วแห้ง “นักโกงการเลือกตั้ง” ทำให้สังคมการเมืองไทยในวงจรอุบาทว์ไม่ชอบใจนัก กระสือการเมืองเหล่านี้จึงกระหายและกระเหี้ยนกระหือรือที่จะรื้อ จะทิ้งขว้าง โดยเฉพาะเรื่องการยุบพรรค – การตัดสิทธิการเมือง 5 ปี – สมาชิกสภาผู้แทนฯ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ และ สุดท้ายก็ร้องกระจองอแงให้ “นิรโทษกรรม” บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และ 109
เอาละสิ...เมื่อมากันอีหรอบนี้ บ้านเมืองก็วุ่นหมุนติ้วเป็นลูกข่าง สภาพการเมืองในปัจจุบันจึงเละเหมือนขี้เด็กอ่อน!!!
ทำไปทำมาคล้ายว่าจะคิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก วันดีคืนดีก็เลย “หยุดทำร้ายประเทศไทย” เสียเลย
ล่าสุดสวนดุสิตโพล ไปสำรวจความคิดเห็นประชาชน และมากกว่าครึ่งมองว่า นักการเมืองนั่นละตัวดี เป็นคนทำร้ายประเทศไทย ถัดมาคือ “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง”
ซวยละสิ...ยุ่งตายห่า...หมาต๋าเห็นแล้วยิ้ม...จากนักสู้กู้ชาติ ผดุงศาสนาและรักษาราชบัลลังก์ ทำไปทำมากลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาชาวบ้านชาวช่องไปเสียฉิบ
ร้ายกว่านั้น คือ เครื่องแบบของนักสู้กู้ชาติกลายเป็นสีเสื้อการเมืองที่คนกลุ่มหนึ่งเอาไปเปรียบคู่มวยกับสีแดง ทั้งๆ ที่การต่อสู้ ความมุ่งมั่น และเจตนารมณ์ต่างกันราวฟ้า กับเหว
พันธมิตรฯ สู้เพื่อประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ส่วนกองโจรเสื้อแดงสู้เพื่อ “ทักษิณ”
เคยถามพี่คำนูณ สิทธิสมาน ว่า ทำไมเรื่องราวมันกลับตาลปัตรแบบนี้ละ!!!
คุณพี่คำนูณ ตอบเสียงเข้มว่า ถ้าวันนั้นไม่มี “ใครบางคน” มาปิดรายการของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ช่อง 11 สทท.หลังรัฐประหาร จะไม่มีเรื่องเลวร้ายเหมือนในวันนี้เลย
“เพราะถ้าวันนั้นคุณสนธิได้ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงที่ช่อง 11 บอกกล่าวกับประชาชนทั้งประเทศให้ได้รับรู้ถึงการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณ เพียง 3 เดือนเท่านั้น ผู้คนจะหูตาสว่างและไม่ถูกหลอกมาเป็นเครื่องมือเผาบ้านเผาเมืองเพื่อให้ตัวเองหลุดคดีคอร์รัปชัน และเอาเงินที่โกงชาติกลับสู่กระเป๋าของมัน” พี่คำนูณว่า
เมื่อเรื่องราวไม่เป็นอย่างใจเรานึก กาลต่อมาคุณสนธิจึงกลับคืนสู่ ASTV และจัดรายการตามปกติ จนพรรคพลังประชาชน นอมินีทักษิณผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และจะเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของใครคนหนึ่งซึ่งห่างไกลจากคำว่า ประชาชนเสียเหลือเกิน
วันนั้น “25 พฤษภาคม 2551” พันธมิตรฯ ออกมาขุดรากถอนโคนโค่นระบอบทักษิณอีกครั้ง พร้อมปกป้องรัฐธรรมนูญของเราให้รอดพ้นจากนักการเมืองสารเลวให้จงได้
การต่อสู้ยาวนาน 193 วัน เป็นความทรหดอดทนของพันธมิตรฯ ทั้งผอง ทั้งถูกแดดเผา ตากฝน ฝ่าดงระเบิด เสี่ยงภัย และเสียอวัยวะกับชีวิต
แต่พันธมิตรฯ ก็ยังยืนหยัดด้วยวิธีสันติ อหิงสา การเดินขบวนไปโน่นมานี่ และไปหยุดที่ “ทำเนียบฯ” ไม่ใช่เพราะบ้าระห่ำ เอาแต่ใจ ไม่นำพาความหายนะของบ้านเมือง
แต่ทำไปเพราะจะสู้กับนักการเมืองขี้โกง ที่กำลังพล่าผลาญแผ่นดินไทย เมื่อระบบรัฐสภาฯ ถูกพันธนาการด้วย “น้ำเงิน” จนเกิดปรากฏการณ์พวกมากลากไป บรรดานักสู้กู้ชาติผู้ไม่ยอมเจ็บไม่ยอมตาย จึงใช้การเดินขบวนประท้วงตามกรอบกฎหมาย เพื่อ “ขับไล่” ทุนสามานย์ให้ออกไปจากสารบบ...ผิดด้วยหรือที่รักชาติจนกล้าสู้
วันนั้นพวกเราต้องต่อสู้กับผู้บริหารประเทศที่ซื่อต่อคนคดและทรยศกับเพื่อนร่วมชาติ พวกเขาตักตวงผลประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองจนถึงกับกล้าขายชาติบ้านเมืองให้กับพวกต่างด้าวท้าวต่างแดน
วันคืนแห่งการต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยใสสะอาด และเดินหน้าแข็งแกร่งต่อไปเพื่อลูกหลานของเรา เป็นวันคืนเหนื่อยล้าที่พวกเราถูกตำรวจกดดันไม่เว้นแต่ละวัน
ไม่ใช่เป็นม็อบมีเส้นอย่างที่ใครบางคนกล่าวหาลมๆ แล้งๆ แต่เราถูกล้อมหน้าล้อมหลังวันแล้ววันเล่า ทว่าพวกเราก็รอดมาได้เพราะแรงใจของประชาชนที่หลั่งไหลมาร่วมอุดมการณ์...ตำรวจ-ทหาร กลัวใจประชาชนคนจริงต่างหาก
การต่อสู้ของมวลชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศจนเป็นคลื่นมหาชน ได้ยกระดับการกดดันรัฐบาลนอมินีทักษิณให้ลาออกไปเริ่มเข้มข้นขึ้น จากวันเป็นเดือน และผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า ในที่สุดรัฐบาลนอมินีหน้าด้านก็ยังแข็งขืน สุดท้ายพวกเราก็ตัดสินใจไป “ดอนเมือง” กับ “สุวรรณภูมิ”
....ผลก็เป็นอย่างที่เห็นกัน...คนเข้าใจก็ดีไป...แต่คนที่ไม่เข้าใจ ไม่ฟังเหตุผลก็ด่าว่าเราเหมือนหมูเหมือนหมา
แต่แล้ว... พันธมิตรฯ ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกหนจนได้ คราวนี้เรามีรัฐบาลพลิกขั้วทันทีหลังจากเกิดการยุบพรรคพลังประชาชน
จากนั้นเราก็กลับบ้านคืนเรือนประกอบสัมมาอาชีวะตามปกติ จะมีพบปะกันบ้างตามประสาพันธมิตรฯทั้งผองเป็นพี่น้องกันด้วย “คอนเสิร์ตการเมือง” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนรอยยิ้ม และมิตรไมตรี
ขณะที่เราเดินสายไปกับเสียงหัวเราะ และรัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังเร่งแก้ไขปัญหาบ้านเมืองขมีขมัน เราก็พบว่าทักษิณเร่งเครื่อง “ทำร้ายประเทศไทย” ด้วยการก่อกำเนิดกลุ่มเสื้อแดง
ในเมื่อมีเหลือง-ธรรมะได้ ก็จะมีสีแดงบ้างใครจะทำไม!!!
ความแค้นของทักษิณ หัวหน้าเสื้อแดง ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟแทบกลายเป็นจุล ดีที่บ้านเรามี “องค์พระสยมบรมราชัญขวัญหล้า เปล่งบุญญาสมสง่าบารมี”
ไม่งั้นละก้อ... ป่านนี้นายกรัฐมนตรีคนดี หาชีวิตไม่แล้ว!!!
ความโกลาหลในบ้านเมืองทำให้คนไทยส่วนหนึ่งหงุดหงิด และหันรีหันขวาง กอรปกับเศรษฐกิตกต่ำ เลยเหมารวมไปว่า ไอ้เสื้อเหลืองกับไอ้เสื้อแดง มันทำบ้านเมืองพินาศฉิบหาย ต้องละลายมันออกไปเสียจากสังคมไทย นั่นละเทศกาลเสื้อหลากสี และ “หยุดทำร้ายประเทศไทย” จึงตามออกมา
โครงการ “หยุดทำร้ายประเทศไทย” นี้ดีไม่มีเสีย แต่มีคำถามคาใจอยากได้คำตอบว่า จะบอกให้ใครหยุดทำร้ายประเทศไทยกันหรือ?
ระหว่าง ก. ทักษิณ ข. พจมาน ค. ลูกทั้งสามและนักร้องคนนั้น ง. บริวารของทักษิณที่เลี้ยงได้ด้วยเงินกับอำนาจ จ. สื่อมวลชนจอมบิดเบือนที่สยบยอมให้กับเศษเงินทักษิณ ฉ. ข้าราชการ – ทหาร –ตำรวจ ที่กระหายเงินส่วนแบ่งสองหมื่นหกพันล้านบาทที่ทักษิณดำริจะแบ่งให้ ช. คนไทยขี้หงุดหงิดชอบหนีปัญหา และซ. พันธมิตรฯ ผู้มุ่งมั่นการเมืองใหม่
ช่วยๆ กันหาคำตอบให้ที ได้แล้วส่งคำตอบใส่ซองไปที่รัฐบาล หรือกองทัพบก ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น ไม่ต้องส่งมาที่นี่ เพราะเตรียมฝึกร้องเพลงขึ้นเวทีครบรอบ 1 ปี พันธมิตรฯ 193 วัน กับสี่สาวดาวเต้นบ้านพระอาทิตย์
แต่ระวังดีๆ ช่วงนี้อาวุธสงครามเล็ดลอดออกมาเยอะ เดี๋ยวพาลไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจะโดน “ทหารขี้ฉ้อ” บางคนสมคบกับ “ คุณยาย 18 มงกุฎ” ผีข้างวัง...ดักยิงทิ้งไม่รู้ด้วยนะเออ.