xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ก่อการร้าย หมายเลข 25

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

จู่ๆก็ได้รับหมายเกียรติจากตำรวจ สภ.อ.ราชาเทวะ ให้ไปรายงานตัวต่อด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ กล่าวหาว่า ผมเป็นผู้ก่อการร้าย ประทุษร้าย ขู่เข็ญ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ทำให้เสียทรัพย์ ในคดีบุกรุกสุวรรณภูมิ และทำให้การบริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง

มีรายชื่อเป็นลำดับที่ 25 ของผู้ถูกกล่าวหา 25 คนที่สนามบินสุวรรณภูมิ (เข้าใจว่า ตำรวจคงชั่งใจอยู่นาน 555)

ผมไม่รู้สึกตกใจกับหมายเรียกของตำรวจหรอกครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่า การชุมนุมโดยสันติ เพื่อขับไล่รัฐบาลที่พยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดให้กับทักษิณ และขยายมาเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติในกรณีดินแดนทับซ้อนเขาพระวิหารนั้น จะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายไปได้อย่างไร

แต่การที่รู้สึกว่า ได้รับเกียรติก็เพราะกลายเป็นผู้ต้องหาร่วมกับคนสำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉล ทั้งที่ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ไม่เคยไปสั่งการอะไรใครที่ไหน นอกจากทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นงานสุจริตเปิดเผย

และผมเป็นคนปิดตัว คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักผมด้วยซ้ำไป

แต่อาจเป็นเพราะผมได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่การท่าฯ ในบางเรื่อง เช่น ประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่ประสงค์จะเดินทางไปแสวงบุญ และติดค้างอยู่ที่สนามบิน แม้ว่าผมไม่เคยแนะนำตัวเอง แต่พี่น้องมุสลิม และส.ส.ประชาธิปัตย์หลายคนคงจะจำหน้าผมได้ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.เชน เทือกสุบรรณ สามารถ มะลูลีม อันวาร์ สาและ ฯลฯ

นอกจากนั้นผมยังช่วยประสานงานเรื่องน้ำ ไฟ หรือรถขยะ การติดต่อรถเมล์ ขสมก.เพื่อมารับพวกเรากลับ ซึ่งดูแล้วเป็นการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่การท่าฯ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ท่าอากาศยานเท่านั้น

ผมเข้าใจว่า การที่ผมได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่การท่าฯ บางคนนี่เอง ที่ทำให้ผมถูกเอาชื่อส่งให้ตำรวจเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาด้วย

แม้ว่า จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และกฎหมายไทยบังคับให้ผมไปพิสูจน์ข้อกล่าวหา ผมก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร นอกจากคิดอยู่ในใจว่า เมื่อผมมีหน้าที่พิสูจน์ข้อกล่าวหาของตัวเองให้พ้นผิดแล้ว ผู้ที่กล่าวหาผมจะต้องรับกรรมที่ได้กล่าวหาผมด้วย

การชุมนุมของพวกเรานั้นชัดเจนไว้ดังที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นแล้ว คือ การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนอมินี เพื่อฟอกผิดให้กับทักษิณ และขยายมาเป็นการคัดค้านเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติในกรณีดินแดนทับซ้อนเขาพระวิหาร เป็นการกระทำอย่างเปิดเผยตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ

แน่นอนครับพวกเราชุมนุมกันบนถนนราชดำเนิน ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวดอนเมือง และบนถนนหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ผมคิดว่า นี่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย

การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบสันติ มีแต่พวกเราที่ถูกอีกฝ่ายใช้อาวุธสงครามขว้างและยิงเข้าใส่จนเจ็บและตายจำนวนมาก คนเหล่านั้นต่างหากที่ควรจะเป็นผู้ก่อการร้ายไม่ใช่พวกเรา

มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาเกี่ยวกับการก่อการร้าย ดังต่อไปนี้

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(3) การกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้เสรีภาพตาม รัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

จะเห็นว่า วรรคสุดท้ายของมาตรานี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การชุมนุมของพวกเราซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ไม่มีทางเป็นความผิดฐานก่อการร้ายได้เลย

ผมไม่ปฏิเสธหรอกครับว่า พวกเราบางคนได้เดินเข้าไปใช้ห้องน้ำ หรือเข้าไปนั่งพักผ่อนในตัวอาคารสนามบิน แต่สถานที่นั้นก็เป็นสถานที่สาธารณะที่ไม่มีกฎระเบียบที่ไหนห้ามไว้ พวกเราไม่เคยมีอำนาจไปสั่งระงับการบิน แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินทางไปยังสนามบินสื่อมวลชนทุกแขนงก็ได้รายงานว่า นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานฯ พี่ภรรยาของนายวีระ มุสิกพงศ์ได้สั่งปิดสนามบินไปก่อนแล้ว

และเวลาต่อมานายเสรีรัตน์ก็ถูกบอร์ดการท่าฯ ตำหนิว่า สั่งปิดสนามบินโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งมีอยู่ในบันทึกการประชุมของบอร์ดการท่าฯ ที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว กลับปล่อยให้นายเสรีรัตน์กลับมาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ใหญ่กว่าเดิม

และนายเสรีรัตน์ ที่พรรคประชาธิปัตย์อุ้มสมนี้เองที่เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาพวกเรารวมถึงคุณกษิต ภิรมย์ ว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ขานรับกับเสียงเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต้องการให้ใช้กฎหมายร้ายแรงกำจัดพันธมิตรฯ

หลายคนประหลาดใจว่า คุณกษิตได้รับเชิญมาขึ้นเวทีปราศรัยไม่กี่ครั้ง ถ้าผมจำไม่ผิดคุณกษิตมาขึ้นเวทีที่สุวรรณภูมิอาจจะสัก 1-2 ครั้ง และครั้งละไม่เกิน 15 นาที เทียบกับผู้ปราศรัยคนอื่นๆ ที่ไม่ถูกหมายเรียกแล้ว ก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ตำรวจดำเนินการไปอย่างขาดมาตรฐานและมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอน

แม้จะรู้แล้วว่า ตำรวจส่วนใหญ่ถือหางใคร เป็นฝ่ายไหน แต่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดูแลฝ่ายความมั่นคง กลับปล่อยให้ตำรวจตั้งข้อหาที่ไม่เป็นธรรมต่อพวกเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณกษิต ซึ่งเป็นรัฐมนตรีของพรรค

เหมือนมีวาระที่จะจัดการกับคุณกษิตโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตามกฎหมายอาญา มาตรา 137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 200 ผู้ใด เป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่ง พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน หรือ พนักงานผู้มีอำนาจ สืบสวนคดีอาญา หรือ จัดการให้เป็นไป ตามหมายอาญา...

ถ้า การกระทำ หรือ ไม่กระทำนั้น เป็นการ เพื่อจะแกล้ง ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด ต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือ ต้องถูกบังคับตาม วิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษ จำคุกตลอดชีวิต หรือ จำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และ ปรับตั้งแต่สองพันบาท ถึง สี่หมื่นบาท

ในส่วนของคุณกษิตนั้น ผมคิดว่า ขณะนี้คุณกษิตได้รับความเสียหายแล้ว เพราะมีเสียงเรียกร้องให้รับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จนี้

ผมว่า ไม่มีกฎหมายไหนบัญญัติขึ้นมาเพื่อเล่นงานคนที่ไม่ทำความผิด และยังป้องกันไม่ให้คนชั่วใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือในการรังแกผู้อื่นอีกด้วย

                                                        surawhisky@hotmail.com
อย่าให้ประเทศไร้ซึ่งความเป็นนิติรัฐเพราะข้อหาการก่อการร้าย
บทความนี้ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเสนอบทความทางวิชาการเพื่อให้ข้อคิดแก่ประชาชนและบุคคลซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่และอยู่ในฐานะเป็นบุคคลชนชั้นของการเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน ผู้เขียนไม่มีเจตนาฝักใฝ่ในทางการเมืองแต่อย่างใด แต่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับผิดชอบในการทำหน้าที่เป็นองค์กรของรัฐในการบริหารราชการแผ่นดินได้ตระหนักถึงภาวะหน้าที่ที่จะต้องรักษา “รัฐ”หรือ”ประเทศ” ให้คงมีสถานะของการเป็นนิติรัฐโดยต้องจรรโลงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันเป็นหน้าที่ของการบริหารราชการแผ่นดินที่ต้องกระทำตามหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น