ASTVผู้จัดการรายวัน- นายกฯเผยกรรมการสภาพัฒน์ฯ ขอพิจารณารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันต่อเวลา 30 วัน ก่อนสรุปส่ง ครม. แย้มอาจไม่“เช่า-ชื้อ” ข้อเสนอใหม่ อาจตั้งบริษัทลูกเช่าชื้อแทน ลั่นทุกโครงการต้องรับผิดชอบร่วมกัน ขณะที่"โสภณ"เริ่มถอดใจ ถ้าเสนออีกรอบไม่ผ่านคงต้องล้มโครงการ พร้อมเปิดเวทีคุยรถร่วมฯเรื่องทับซ้อนเส้นทาง เผย ข้อมูลสศช.4 ประเด็น ติดใจประมาณการผู้โดยสาร โครงการมีความเสี่ยง, 145 เส้นทางทับซ้อนเอกชน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการศึกษาเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4000 คัน ที่ให้สภาพัฒน์ไปทำการศึกษาว่าจะใช้วิธีเช่า หรือซื้อ เช่า– ชื้อ ว่า ทางกรรมการสภาพัฒน์ได้รายงานผลการทำงานมา โดยเสนอว่า
1. ยังมีข้อมูลซึ่งเป็นสมมุติฐานของโครงการ ที่ยังมีความจำเป็นจะต้องได้รายละเอียดเพิ่มเติมจากทางกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะเรื่องของเส้นทาง และจำนวนผู้โดยสาร
2. เรื่องนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องของรถร่วมฯ เพราะต้องกำหนดให้ชัดเจนหากทำโครงการใหม่ที่จะเข้ามาวิ่ง ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเส้นทาง ระบบตั๋ว ผลกระทบกับความทับซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรถร่วมเป็นประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบกับด้วย
3. รูปแบบของการดำเนินโครงการ น่าจะมีทางเลือกเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเช่าหรือซื้อ อาจจะอยู่ในรูปแบบการเช่าหรือซื้อ โดยตั้งบริษัทลูกขึ้นมาก็เป็นได้ หรืออาจเป็นลักษณะการแบ่งเส้นทางในการทำโครงการก็ได้ ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพิ่มเติม ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมก็ยินดีที่จะจัดให้
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการสภาพัฒน์ บอกว่า เมื่อได้ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ก็จะพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะทำข้อเสนอมาให้ครม.ได้ แต่ทางกระทรวงคมนาคมไม่ได้บอกว่าจะส่งข้อมูลให้สภาพัฒน์ได้เมื่อไร แต่กระทรวงคงจะทำให้เร็วอยู่แล้ว
ต่อข้อถามว่า จำนวนรถเมล์ยังคงไว้ที่ 4 พันคัน เหมือนเดิมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงถึงเรื่องจำนวน เพราะต้องดูตัวโครงการ โดยตั้งต้นจากสมมุติฐานเรื่องเส้นทาง และผู้โดยสารให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจึงจะสามารถทอนออกมาเป็นเรื่องจำนวนรถ การซื้อ การเช่า การตั้งบริษัทลูก จะเป็นคำตอบตามมาอีกที
ส่วนทางกระทรวงยังยืนยันว่า การเช่าดีที่สุดนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเป็นความเห็นที่เสนอมาตั้งแต่ต้น เมื่อครม.เสนอให้กรรมการสภาพัฒน์กลั่นกรอง กระทรวงก็ต้องส่งข้อมูลไป สภาพัฒน์ก็ทำข้อเสนอมา เมื่อถามว่า ทางกระทรวงคมนาคม จะยอมรับผลของสภาพัฒน์หรือเปล่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่สุดทุกคนต้องรับผล ครม.
ต่อข้อถามว่าความล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับพรรค แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวโครงการว่าทำอย่างไรให้ดีที่สุด และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ต้องการให้โครงการนี้เมื่อออกมาแล้วเป็นโครงการที่ประชาชนมั่นใจว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับพรรคภูมิใจไทย ออกมาระบุว่า ถ้ารัฐบาลไม่ให้ เตรียมกอดคอกันตาย นายกรัฐมนตรี กล่าวแย้งว่า คนละเรื่องแล้วมั้ง เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างพรรคระหว่างประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังอยู่ด้วยกันกอดคอกันดีและไม่ตายด้วยครับ
เมื่อถามว่า ทำไมยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำลงพื้นที่ภาคอีสาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทกุอย่างอยู่ที่เหตุผล คำว่า กอดคออยู่ด้วยกันต้องกอดคออยู่ด้วยกันในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการตัดสินใจว่า มาทำงานร่วมกันแล้วก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งความเห็นอาจจะแตกต่างกันในบางเรื่อง เมื่อแตกต่างกัน ก็มาหาข้อยุติกันในที่ประชุมครม. เพราะทุกโครงกาเราต้องการให้มีความมั่นใจ จริงๆ แล้วถามว่าหากเป็นโครงการที่ทำแล้วประชาชนชอบใจ ถามว่ามีพรรคการเมืองไหนไม่อยากทำ ก็ต้องอยากทำทุกพรรค ก็ต้องรอบครอบและต้องยอมรับบางทีโครงการทำไปร้อยผิดแค่ 10 แต่ 10 นั้นเป็น 10 ที่ประชาชนรับรู้ และเกิดปัญหาเราต้องป้องกันให้ดีที่สุด
**แจงแผนงาน30วันของสภาพัฒน์
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังประชุมครม. ว่าครม.ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กลับไปพิจารณาแล้วนำเสนอมาที่ครม.ภายใน 30 วัน ซึ่งเรื่องที่ สคช.ได้เสนอมาคือ เรื่องของความก้าวหน้าการดำเนินงาน ได้แก่
1. วันที่ 8 มิ.ย.52 สศช.ได้หารือแนวทางการดำเนินการ ตามที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.52 แล้วมีความเห็นว่า การพิจารณาจะต้องยึดหลักการพิจารณาตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 ซึ่งจะต้องเป็นการปฎิรูปบริการขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมนฑลในภาพรวมทั้งระบบ และอยู่บนพื้นฐานการฟื้นฟูฐานะการเงินของขสมก.ได้อย่างยั่งยืน
2. วันที่ 9 มิ.ย.52 สศช. ได้มีหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม ขอให้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ ได้แก่ 1.ข้อมูลการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2.ข้อมูลการปรับโครงสร้างองค์กรและการฟื้นฟูฐานะการเงิน ของ ขสมก. 3. ข้อมูลต้นทุนโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน4 พันคัน 4.ข้อมูลรายได้ของโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 4 พันคัน และ 5.ข้อมูลประมาณการผลตอบแทนทางการเงิน และความเสี่ยงของโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 4 พันคัน เพื่อประกอบการวิเคราะห์เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการฯ และจัดส่งให้ สศช. ภายในวันที่ 18 มิ.ย. 52
**”โสภณ”ท้อถ้าไม่ผ่านคงต้องล้มเลิก
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการรถเมล์ เอ็นจีวี 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอข้อคิดเห็นให้ครม.พิจารณา จำนวน 4 ข้อโดยที่ประชุมฯได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม รับผลการพิจารณาดังกล่าวกลับไปทบทวนและปรับปรุงรายละเอียดอีกครั้ง ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ข้อคิดเห็นของสภาพัฒน์ ที่ได้เสนอไปทั้ง4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ให้กระทรวงคมนาคมปรับปรุงข้อมูลของแผนปรับปรุงการบริหการ จัดการและการบริการระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพของ ขสมก.ทั้ง ความเหมาะสมของเส้นทางการเดินรถทั้ง145 เส้นทาง ที่มีการทับซ้อนกันระหว่าง ขสมก.และรถร่วมเอกชน และการเชื่อมโยงกับขนส่งมวลชนอื่นในปัจจุบันและอนาคต ,ความเหมาะสมของประมาณการปริมาณผู้โดยสารที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลปริมาณผู้โดยสารในช่วงที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ของการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในอนาคต และสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ประมาณการปริมาณผู้โดยสารของขสมก. มีความเสี่ยงสูง , ผลกระทบด้านค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย และการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ รวมทั้งการประมาณการรายได้ และต้นทุนของโครงการ ที่จะต้องสะท้อนความคุ้มค่าของการลงทุน
2.กระทรวงคมนาคม ต้องบูรณาการให้เกิดความเชื่อมโยงการให้บริการขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพ และปริมลฑลทั้งระบบ
3.ให้กระทรวงคมนาคมทบทวนบทบาทของขสมก.ในการป็นหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) หรือเป็นหน่วยงานให้บริการ (Operator) พร้อมทั้งจัดทำแผนปรับบทบาทของขสมก.ที่ชัดเจน โดยเฉพาะทางเลือกในการที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ
4.รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณาตัดสินใจในการรับภาระหนี้เดิมของขสมก. จำนวน 67,235 ล้านบาท เพื่อแยกภาระหนี้สินเดิมออกจากแผนปรับปรุงการบริการจัดการและการบริการระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพของขสมก.
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังครบ 30 วัน กระทรวงคมนาคม ได้จัดทำข้อมูลแล้วครม.ยังไม่เห็นชอบโครงการอีก กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการอย่างไร นายโสภณ กล่าวว่า หากจัดทำแล้ว ยังไม่สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน และไม่สามารถทำให้โครงการเดินหน้าได้ คงต้องล้มเลิกโครงการ แต่ในส่วนแผนอื่นที่อยู่ในแผนฟื้นฟูของขสมก. จะยังอยู่ โดยยืนยันว่า ผลที่ออกมาจะไม่ส่งผลกระทบในด้านการเมือง ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พราะโครงการดังกล่าวเป็นเพียงแค่โครงการหนึ่งเท่านั้น
สำหรับเรื่องเส้นทางการเดินรถ 145 เส้นทาง ที่ทับซ้อนกับรถร่วมบริการนั้นนายโสภณ กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ จะเชิญผู้ประกอบการรถร่วมฯ เข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางการแก้ไข และรับทราบถึงผลกระทบว่าผู้ประกอบการมีความเดือดร้อนอย่างไร ส่วนในเรื่องเส้นทางจะต้องมีการทบทวนดูอีกครั้ง เพราะขณะนี้เส้นทางหลายเส้นทางก็ทับซ้อนกันอยู่
อย่างไรก็ตาม มติครม. ก่อนหน้านี้ที่มอบหมายให้คณะกรรมการสศช. เป็นผู้พิจารณาเปรียบเทียบระหว่างการเช่ากับการซื้อนั้น นายโสถณ กล่าวว่า ยังไม่มีการหาพูดคุยกันในประเด็นดังกล่าว ส่วนในรวมถึงข้อเสนออื่นเช่นตั้งบริษัทลูก การเปิดให้สัมปทาน ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณาแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากที่ประชุมครม. แจ้งว่า ในการพิจารณาเรื่องนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวว่าผลการศึกษา สภาพัฒน์ควรฟันธงว่า จะซื้อ ,เช่า หรือยกเลิก หรือให้เอกชนเช่าเส้นทางสัมปทาน หรือจะให้ตั้งบริษัทลูกของ ขสมก.ขึ้นมา เพราะอยากให้เรื่องนี้จบเสียที จะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปอีก เพราะข้อมูลของสภาพัฒน์นั้นเป็นภาพกว้าง และสุดท้ายครม. ก็ต้องตัดสินอยู่แล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอให้การศึกษาเรื่องนี้ ควรฟันธง และควรเป็นครั้งสุดท้าย
**ขสมก.อยากได้รถใหม่
เมื่อช่วงเช้าวานนี้ ( 30 มิ.ย.) กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำโดยนายสนาน บุญงอก ประธานสหภาพขสมก. พร้อมด้วยพนักงานขสมก. ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน โดยนายสนาน กล่าวว่า สหภาพฯยืนยันที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลซื้อ หรือเช่าซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน เพื่อทดแทนรถเก่า โดยพิจารณาถึงความคุ้มทุนในการใช้ระบบเชื้อเพลิงเอ็นจีวีหรือดีเซลควบคู่กันหรือระบบใดระบบหนึ่ง รวมถึงขอให้ยกเลิกการจัดเก็บค่าโดยสารระบบอิเล็กโทรนิกส์หรือ E-Ticket ที่ จะทำให้ส่งผลกระทบต่อพนักงานไม่น้อย 9,000 คน ซึ่งขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้มีการเลิกจ้างลูกจ้างและส่งเสริมการจ้างงาน
ขณะเดียวกันให้ทบทวนการติดตั้งระบบ GPS เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมและไม่สามารถใช้การได้จริงในสภาพปัจจุบัน และขอสนับสนุนแผนการปรับปรุงเส้นทางเดินรถโดยสารให้ครบถ้วนครอบคลุมทุกเส้นทางในพื้นที่ 5 จังหวัดและใกล้เคียง โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการศึกษาเรื่องรถเมล์เอ็นจีวี 4000 คัน ที่ให้สภาพัฒน์ไปทำการศึกษาว่าจะใช้วิธีเช่า หรือซื้อ เช่า– ชื้อ ว่า ทางกรรมการสภาพัฒน์ได้รายงานผลการทำงานมา โดยเสนอว่า
1. ยังมีข้อมูลซึ่งเป็นสมมุติฐานของโครงการ ที่ยังมีความจำเป็นจะต้องได้รายละเอียดเพิ่มเติมจากทางกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะเรื่องของเส้นทาง และจำนวนผู้โดยสาร
2. เรื่องนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องของรถร่วมฯ เพราะต้องกำหนดให้ชัดเจนหากทำโครงการใหม่ที่จะเข้ามาวิ่ง ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเส้นทาง ระบบตั๋ว ผลกระทบกับความทับซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับรถร่วมเป็นประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบกับด้วย
3. รูปแบบของการดำเนินโครงการ น่าจะมีทางเลือกเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเช่าหรือซื้อ อาจจะอยู่ในรูปแบบการเช่าหรือซื้อ โดยตั้งบริษัทลูกขึ้นมาก็เป็นได้ หรืออาจเป็นลักษณะการแบ่งเส้นทางในการทำโครงการก็ได้ ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพิ่มเติม ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมก็ยินดีที่จะจัดให้
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการสภาพัฒน์ บอกว่า เมื่อได้ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ก็จะพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นจะทำข้อเสนอมาให้ครม.ได้ แต่ทางกระทรวงคมนาคมไม่ได้บอกว่าจะส่งข้อมูลให้สภาพัฒน์ได้เมื่อไร แต่กระทรวงคงจะทำให้เร็วอยู่แล้ว
ต่อข้อถามว่า จำนวนรถเมล์ยังคงไว้ที่ 4 พันคัน เหมือนเดิมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงถึงเรื่องจำนวน เพราะต้องดูตัวโครงการ โดยตั้งต้นจากสมมุติฐานเรื่องเส้นทาง และผู้โดยสารให้ชัดเจนก่อน จากนั้นจึงจะสามารถทอนออกมาเป็นเรื่องจำนวนรถ การซื้อ การเช่า การตั้งบริษัทลูก จะเป็นคำตอบตามมาอีกที
ส่วนทางกระทรวงยังยืนยันว่า การเช่าดีที่สุดนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเป็นความเห็นที่เสนอมาตั้งแต่ต้น เมื่อครม.เสนอให้กรรมการสภาพัฒน์กลั่นกรอง กระทรวงก็ต้องส่งข้อมูลไป สภาพัฒน์ก็ทำข้อเสนอมา เมื่อถามว่า ทางกระทรวงคมนาคม จะยอมรับผลของสภาพัฒน์หรือเปล่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่สุดทุกคนต้องรับผล ครม.
ต่อข้อถามว่าความล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับพรรค แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวโครงการว่าทำอย่างไรให้ดีที่สุด และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ต้องการให้โครงการนี้เมื่อออกมาแล้วเป็นโครงการที่ประชาชนมั่นใจว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับพรรคภูมิใจไทย ออกมาระบุว่า ถ้ารัฐบาลไม่ให้ เตรียมกอดคอกันตาย นายกรัฐมนตรี กล่าวแย้งว่า คนละเรื่องแล้วมั้ง เมื่อถามว่าความสัมพันธ์ระหว่างพรรคระหว่างประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังอยู่ด้วยกันกอดคอกันดีและไม่ตายด้วยครับ
เมื่อถามว่า ทำไมยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำลงพื้นที่ภาคอีสาน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทกุอย่างอยู่ที่เหตุผล คำว่า กอดคออยู่ด้วยกันต้องกอดคออยู่ด้วยกันในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการตัดสินใจว่า มาทำงานร่วมกันแล้วก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งความเห็นอาจจะแตกต่างกันในบางเรื่อง เมื่อแตกต่างกัน ก็มาหาข้อยุติกันในที่ประชุมครม. เพราะทุกโครงกาเราต้องการให้มีความมั่นใจ จริงๆ แล้วถามว่าหากเป็นโครงการที่ทำแล้วประชาชนชอบใจ ถามว่ามีพรรคการเมืองไหนไม่อยากทำ ก็ต้องอยากทำทุกพรรค ก็ต้องรอบครอบและต้องยอมรับบางทีโครงการทำไปร้อยผิดแค่ 10 แต่ 10 นั้นเป็น 10 ที่ประชาชนรับรู้ และเกิดปัญหาเราต้องป้องกันให้ดีที่สุด
**แจงแผนงาน30วันของสภาพัฒน์
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังประชุมครม. ว่าครม.ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กลับไปพิจารณาแล้วนำเสนอมาที่ครม.ภายใน 30 วัน ซึ่งเรื่องที่ สคช.ได้เสนอมาคือ เรื่องของความก้าวหน้าการดำเนินงาน ได้แก่
1. วันที่ 8 มิ.ย.52 สศช.ได้หารือแนวทางการดำเนินการ ตามที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.52 แล้วมีความเห็นว่า การพิจารณาจะต้องยึดหลักการพิจารณาตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 ซึ่งจะต้องเป็นการปฎิรูปบริการขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมนฑลในภาพรวมทั้งระบบ และอยู่บนพื้นฐานการฟื้นฟูฐานะการเงินของขสมก.ได้อย่างยั่งยืน
2. วันที่ 9 มิ.ย.52 สศช. ได้มีหนังสือถึงกระทรวงคมนาคม ขอให้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมมาให้ ได้แก่ 1.ข้อมูลการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2.ข้อมูลการปรับโครงสร้างองค์กรและการฟื้นฟูฐานะการเงิน ของ ขสมก. 3. ข้อมูลต้นทุนโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน4 พันคัน 4.ข้อมูลรายได้ของโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 4 พันคัน และ 5.ข้อมูลประมาณการผลตอบแทนทางการเงิน และความเสี่ยงของโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 4 พันคัน เพื่อประกอบการวิเคราะห์เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการฯ และจัดส่งให้ สศช. ภายในวันที่ 18 มิ.ย. 52
**”โสภณ”ท้อถ้าไม่ผ่านคงต้องล้มเลิก
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการรถเมล์ เอ็นจีวี 4,000 คัน ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอข้อคิดเห็นให้ครม.พิจารณา จำนวน 4 ข้อโดยที่ประชุมฯได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม รับผลการพิจารณาดังกล่าวกลับไปทบทวนและปรับปรุงรายละเอียดอีกครั้ง ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ข้อคิดเห็นของสภาพัฒน์ ที่ได้เสนอไปทั้ง4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ให้กระทรวงคมนาคมปรับปรุงข้อมูลของแผนปรับปรุงการบริหการ จัดการและการบริการระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพของ ขสมก.ทั้ง ความเหมาะสมของเส้นทางการเดินรถทั้ง145 เส้นทาง ที่มีการทับซ้อนกันระหว่าง ขสมก.และรถร่วมเอกชน และการเชื่อมโยงกับขนส่งมวลชนอื่นในปัจจุบันและอนาคต ,ความเหมาะสมของประมาณการปริมาณผู้โดยสารที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลปริมาณผู้โดยสารในช่วงที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ของการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารในอนาคต และสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ประมาณการปริมาณผู้โดยสารของขสมก. มีความเสี่ยงสูง , ผลกระทบด้านค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย และการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการ รวมทั้งการประมาณการรายได้ และต้นทุนของโครงการ ที่จะต้องสะท้อนความคุ้มค่าของการลงทุน
2.กระทรวงคมนาคม ต้องบูรณาการให้เกิดความเชื่อมโยงการให้บริการขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพ และปริมลฑลทั้งระบบ
3.ให้กระทรวงคมนาคมทบทวนบทบาทของขสมก.ในการป็นหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) หรือเป็นหน่วยงานให้บริการ (Operator) พร้อมทั้งจัดทำแผนปรับบทบาทของขสมก.ที่ชัดเจน โดยเฉพาะทางเลือกในการที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ
4.รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณาตัดสินใจในการรับภาระหนี้เดิมของขสมก. จำนวน 67,235 ล้านบาท เพื่อแยกภาระหนี้สินเดิมออกจากแผนปรับปรุงการบริการจัดการและการบริการระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพของขสมก.
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังครบ 30 วัน กระทรวงคมนาคม ได้จัดทำข้อมูลแล้วครม.ยังไม่เห็นชอบโครงการอีก กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการอย่างไร นายโสภณ กล่าวว่า หากจัดทำแล้ว ยังไม่สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน และไม่สามารถทำให้โครงการเดินหน้าได้ คงต้องล้มเลิกโครงการ แต่ในส่วนแผนอื่นที่อยู่ในแผนฟื้นฟูของขสมก. จะยังอยู่ โดยยืนยันว่า ผลที่ออกมาจะไม่ส่งผลกระทบในด้านการเมือง ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล พราะโครงการดังกล่าวเป็นเพียงแค่โครงการหนึ่งเท่านั้น
สำหรับเรื่องเส้นทางการเดินรถ 145 เส้นทาง ที่ทับซ้อนกับรถร่วมบริการนั้นนายโสภณ กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ จะเชิญผู้ประกอบการรถร่วมฯ เข้ามาหารือเพื่อหาแนวทางการแก้ไข และรับทราบถึงผลกระทบว่าผู้ประกอบการมีความเดือดร้อนอย่างไร ส่วนในเรื่องเส้นทางจะต้องมีการทบทวนดูอีกครั้ง เพราะขณะนี้เส้นทางหลายเส้นทางก็ทับซ้อนกันอยู่
อย่างไรก็ตาม มติครม. ก่อนหน้านี้ที่มอบหมายให้คณะกรรมการสศช. เป็นผู้พิจารณาเปรียบเทียบระหว่างการเช่ากับการซื้อนั้น นายโสถณ กล่าวว่า ยังไม่มีการหาพูดคุยกันในประเด็นดังกล่าว ส่วนในรวมถึงข้อเสนออื่นเช่นตั้งบริษัทลูก การเปิดให้สัมปทาน ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณาแต่อย่างใด
รายงานข่าวจากที่ประชุมครม. แจ้งว่า ในการพิจารณาเรื่องนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวว่าผลการศึกษา สภาพัฒน์ควรฟันธงว่า จะซื้อ ,เช่า หรือยกเลิก หรือให้เอกชนเช่าเส้นทางสัมปทาน หรือจะให้ตั้งบริษัทลูกของ ขสมก.ขึ้นมา เพราะอยากให้เรื่องนี้จบเสียที จะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปอีก เพราะข้อมูลของสภาพัฒน์นั้นเป็นภาพกว้าง และสุดท้ายครม. ก็ต้องตัดสินอยู่แล้ว ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขอให้การศึกษาเรื่องนี้ ควรฟันธง และควรเป็นครั้งสุดท้าย
**ขสมก.อยากได้รถใหม่
เมื่อช่วงเช้าวานนี้ ( 30 มิ.ย.) กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำโดยนายสนาน บุญงอก ประธานสหภาพขสมก. พร้อมด้วยพนักงานขสมก. ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน โดยนายสนาน กล่าวว่า สหภาพฯยืนยันที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลซื้อ หรือเช่าซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน เพื่อทดแทนรถเก่า โดยพิจารณาถึงความคุ้มทุนในการใช้ระบบเชื้อเพลิงเอ็นจีวีหรือดีเซลควบคู่กันหรือระบบใดระบบหนึ่ง รวมถึงขอให้ยกเลิกการจัดเก็บค่าโดยสารระบบอิเล็กโทรนิกส์หรือ E-Ticket ที่ จะทำให้ส่งผลกระทบต่อพนักงานไม่น้อย 9,000 คน ซึ่งขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ต้องการให้มีการเลิกจ้างลูกจ้างและส่งเสริมการจ้างงาน
ขณะเดียวกันให้ทบทวนการติดตั้งระบบ GPS เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมและไม่สามารถใช้การได้จริงในสภาพปัจจุบัน และขอสนับสนุนแผนการปรับปรุงเส้นทางเดินรถโดยสารให้ครบถ้วนครอบคลุมทุกเส้นทางในพื้นที่ 5 จังหวัดและใกล้เคียง โดยเฉพาะเชื่อมโยงกับระบบขนส่งอื่น