ASTVผู้จัดการรายวัน – “ป๋าเปรม” แนะต้องมองอดีต ฟื้นการรณรงค์คนไทยกินของไทย ใช้ของไทย ปลูกจิตสำนึกสามัคคี ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศไทยฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจ ด้านเครือสหพัฒน์ ชงแนวการรณรงค์ต้องทำจริงจังต่อเนื่อง แนะภาครัฐเร่งเยียวยาจิตใจควบคู่กระตุ้นเศรษฐกิจ หลังพบคนไทยกำลังการซื้อดี แต่จิตวิทยาย่ำแย่ หวั่นปั่นราคาน้ำมัน กระทบต้นทุนวัตถุดิบ ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเริ่มดีขึ้น
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวภายหลังจากการเป็นประธานเปิดงาน “สหกรุ๊ป แฟร์ : เทรด-เอ็กซ์พอร์ต –เอ็กซ์ทิบิชั่น" ครั้งที่ 13” (Saha Group Fair: Trade - Export – Exhibition)ว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยก็พลอยได้รับผลกระทบ คนไทยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา ซึ่งหากมองย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยรณรงค์ให้คนไทยนิยมของไทย กินของไทยใช้สินค้าของไทย แต่เวลาผ่านมาหลายปี การรณรงค์ค่อยๆ เลือนหายไป
สำหรับในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ประเทศไทยควรนำแนวทางการรณรงค์ให้คนไทยกินของไทยใช้ของไทยกลับมาใช้อีก ขณะเดียวกันต้องสร้างความสามัคคี ปลูกจิตสำนึกคนไทยให้รักใคร่กัน เพื่อให้ประเทศฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไป
“วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เรายังผ่านมาแล้ว และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้เลวร้าย ประเทศไทยยังมีสิ่งดีๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม ซึ่งหากเราหันมากินของไทย ใช้ของไทย และคนในประเทศมีความรักใคร่กัน และยึดปรัชญาการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราก็จะอยู่ได้”
**สหพัฒน์ชี้คนไทยหนุนสินค้าไทยช่วยชาติ
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และนายบุณยเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง กล่าวแสดงทัศนะในแนวทางเดียวกันว่า ในฐานะผู้ประกอบการไทยเห็นด้วยกับนำการรณรงค์ให้คนไทยกินของไทย ใช้ของไทย มาใช้ และต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างมีทิศทางและจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำลูบหน้าปะจมูก
**จี้รัฐเร่งเยียวยาจิตใจคู่ดันเศรษฐกิจ
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาครัฐบาลควรเร่งดำเนินการเยียวยาคนไทย ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะกำลังซื้อของคนไทยไม่ได้ตกลง แต่ด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคตก ซึ่งหากจิตใจของผู้บริโภคกลับมาดี เศรษฐกิจก็จะฟื้นเร็วขึ้น อย่างประเทศอเมริกา วิกฤตเศรษฐกิจกระทบกับกลุ่มผู้ประกอบการ แต่ผู้บริโภคเกิดภาวะช็อกไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามขณะนี้ความมั่นใจเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว
ส่วนปัจจัยที่กังวล คือ การปั่นราคาน้ำมันหากเพิ่มเป็นกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล กระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบปรับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าต้นทุนวัตถุดิบสำคัญมากกว่าการกระจายสินค้า
“ขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ถือว่าไม่กระทบ เพราะการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ได้มาจากตัวแปรเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีอย่างเดียว สำหรับสหพัฒนพิบูล การลงทุนแต่ละครั้งใช้เวลา 2-3 ปี และต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน”
นายบุญชัย กล่าวถึงการทำงานของภาครัฐในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า นับว่าทำได้ดีรู้ปัญหาและสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ก็ไม่ได้ทำดี 100% ต้องมีการปรับปรุงโดยเฉพาะการแก้ปัญหาคนตกงาน ราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำ นอกจากนี้ควรดำเนินนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ อย่างการแจกเช็ค 2,000 บาท ควรมีการวัดผล ถ้าได้รับการตอบรับที่ดี ควรมีการดำเนินการต่อ
แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ามีทิศทางดีขึ้น เพราะครึ่งปีแรกนับว่าเศรษฐกิจถึงจุดตกต่ำสุดแล้ว ตามวัฏจักรของเศรษฐกิจก็ต้องกลับมาดีขึ้น โดยพบว่าสัญญาณจากสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สหพัฒนพิบูล มีอัตราการเติบโต 10% ตามเป้าหมายเพราะบริษัทดำเนินกิจกรรมและทำตลาดเชิงรุก โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า มากกว่าจะเป็นการเพิ่มงบการตลาด
นอกจากนี้ยังมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ซึ่งเป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้สัดส่วน 30-40% และจากการเปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโปรตีนไข่ ซุปไก่ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีผลักดันส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ยาสีฟันซอลล์ยอดขายตกลง ส่วนบริษัทไอ.ซี.ซี.ฯ ยอดขายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ติดลบ 10% อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการสหพัฒนพิบูล สิ้นปีนี้เติบโต 10% หรือมีรายได้ 20,350 ล้านบาท
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ในเครือสหกรุ๊ป กล่าวว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เตรียมนำมาใช้ในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย มีกำลังซื้อฟื้นคืนกลับมาได้ระดับหนึ่ง และหากได้ผลอย่างต่อเนื่องปฏิบัติตามได้จริงทุกมาตรการหรือทุกโครงการ คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในเครือบริษัทสหพัฒน์ ด้วยเช่นกัน และอาจทำให้ผลดำเนินธุรกิจพ้นอัตราการเติบโตติดลบได้ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าสิ้นปีกลุ่มบริษัทอาจติดลบ 5% จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวภายหลังจากการเป็นประธานเปิดงาน “สหกรุ๊ป แฟร์ : เทรด-เอ็กซ์พอร์ต –เอ็กซ์ทิบิชั่น" ครั้งที่ 13” (Saha Group Fair: Trade - Export – Exhibition)ว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยก็พลอยได้รับผลกระทบ คนไทยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา ซึ่งหากมองย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยรณรงค์ให้คนไทยนิยมของไทย กินของไทยใช้สินค้าของไทย แต่เวลาผ่านมาหลายปี การรณรงค์ค่อยๆ เลือนหายไป
สำหรับในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ประเทศไทยควรนำแนวทางการรณรงค์ให้คนไทยกินของไทยใช้ของไทยกลับมาใช้อีก ขณะเดียวกันต้องสร้างความสามัคคี ปลูกจิตสำนึกคนไทยให้รักใคร่กัน เพื่อให้ประเทศฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไป
“วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เรายังผ่านมาแล้ว และวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้เลวร้าย ประเทศไทยยังมีสิ่งดีๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม ซึ่งหากเราหันมากินของไทย ใช้ของไทย และคนในประเทศมีความรักใคร่กัน และยึดปรัชญาการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเราก็จะอยู่ได้”
**สหพัฒน์ชี้คนไทยหนุนสินค้าไทยช่วยชาติ
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และนายบุณยเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง กล่าวแสดงทัศนะในแนวทางเดียวกันว่า ในฐานะผู้ประกอบการไทยเห็นด้วยกับนำการรณรงค์ให้คนไทยกินของไทย ใช้ของไทย มาใช้ และต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างมีทิศทางและจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำลูบหน้าปะจมูก
**จี้รัฐเร่งเยียวยาจิตใจคู่ดันเศรษฐกิจ
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาครัฐบาลควรเร่งดำเนินการเยียวยาคนไทย ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะกำลังซื้อของคนไทยไม่ได้ตกลง แต่ด้านจิตวิทยาของผู้บริโภคตก ซึ่งหากจิตใจของผู้บริโภคกลับมาดี เศรษฐกิจก็จะฟื้นเร็วขึ้น อย่างประเทศอเมริกา วิกฤตเศรษฐกิจกระทบกับกลุ่มผู้ประกอบการ แต่ผู้บริโภคเกิดภาวะช็อกไปทั่วประเทศ อย่างไรก็ตามขณะนี้ความมั่นใจเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติแล้ว
ส่วนปัจจัยที่กังวล คือ การปั่นราคาน้ำมันหากเพิ่มเป็นกว่า 100 เหรียญต่อบาร์เรล กระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบปรับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าต้นทุนวัตถุดิบสำคัญมากกว่าการกระจายสินค้า
“ขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย แต่ก็ถือว่าไม่กระทบ เพราะการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ได้มาจากตัวแปรเศรษฐกิจดีหรือไม่ดีอย่างเดียว สำหรับสหพัฒนพิบูล การลงทุนแต่ละครั้งใช้เวลา 2-3 ปี และต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน”
นายบุญชัย กล่าวถึงการทำงานของภาครัฐในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า นับว่าทำได้ดีรู้ปัญหาและสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ก็ไม่ได้ทำดี 100% ต้องมีการปรับปรุงโดยเฉพาะการแก้ปัญหาคนตกงาน ราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำ นอกจากนี้ควรดำเนินนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ อย่างการแจกเช็ค 2,000 บาท ควรมีการวัดผล ถ้าได้รับการตอบรับที่ดี ควรมีการดำเนินการต่อ
แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ามีทิศทางดีขึ้น เพราะครึ่งปีแรกนับว่าเศรษฐกิจถึงจุดตกต่ำสุดแล้ว ตามวัฏจักรของเศรษฐกิจก็ต้องกลับมาดีขึ้น โดยพบว่าสัญญาณจากสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มดีขึ้น สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สหพัฒนพิบูล มีอัตราการเติบโต 10% ตามเป้าหมายเพราะบริษัทดำเนินกิจกรรมและทำตลาดเชิงรุก โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้า มากกว่าจะเป็นการเพิ่มงบการตลาด
นอกจากนี้ยังมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ซึ่งเป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้สัดส่วน 30-40% และจากการเปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโปรตีนไข่ ซุปไก่ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีผลักดันส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ยาสีฟันซอลล์ยอดขายตกลง ส่วนบริษัทไอ.ซี.ซี.ฯ ยอดขายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ติดลบ 10% อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการสหพัฒนพิบูล สิ้นปีนี้เติบโต 10% หรือมีรายได้ 20,350 ล้านบาท
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ในเครือสหกรุ๊ป กล่าวว่า จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เตรียมนำมาใช้ในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย มีกำลังซื้อฟื้นคืนกลับมาได้ระดับหนึ่ง และหากได้ผลอย่างต่อเนื่องปฏิบัติตามได้จริงทุกมาตรการหรือทุกโครงการ คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในเครือบริษัทสหพัฒน์ ด้วยเช่นกัน และอาจทำให้ผลดำเนินธุรกิจพ้นอัตราการเติบโตติดลบได้ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าสิ้นปีกลุ่มบริษัทอาจติดลบ 5% จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่ต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา