กกต.ฟัน 16 ส.ว.ตกเก้าอี้ ชี้ถือหุ้นสื่อ-พลังงาน เข้าข่ายเป็นคู่สัญญาสัมปทานรัฐที่ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญระบุแม้ซื้อในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีอำนาจบริหารกิจการ แต่กฎหมายไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับจำนวน แค่มีหุ้นก็ต้องถือว่าผิดแล้ว ด้าน 60 ส.ส.หนาว "ไข้หุ้น" อนุฯสอบเตรียมชงที่ประชุมกกต.พิจารณาสัปดาห์หน้า
วานนี้ ( 18 มิ.ย.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาคำร้องของ นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาที่ยื่นคำร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการกระทำของสมาชิกวุฒิสภา 37 ราย โดยอ้างว่าเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ในลักษณะผูกขาดตัดตอน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) (4) ของรัฐธรรมนูญ อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ว.ของบุคคลดังกล่าวสิ้นสุดตาม มาตรา119( 5) ของรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากให้สมาชิกภาพความเป็นส.ว.ของส.ว. 16 คน สิ้นสุดลงตามมาตรา119( 5) ตามความเห็นของอนุกรรมการสอบสวนเสียงข้างน้อย และตามมติเอกฉันท์ของที่ปรึกษากฎหมาย กกต. ประกอบด้วย
1.ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา ถือหุ้น บริษัทเทเลคอนเอเชีย คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มหาชน 2.นายถาวร ลีนุตพงษ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด มหาชน 3.นายบุญชัย โชควัฒนา ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทสหโคเจน(ชลบุรี )จำกัด (มหาชน) 4.นายพิชัย อุตมาภินันท์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)
5.นางพรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นในบริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) 6.นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) 7.นายวรวุฒิ โรจนพาณิช ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) 8.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธุ์ ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) 9.นายสุพจน์ เลียดประถม ส.ว.ตราด ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)
10.นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ส.ว.พิษณุโลก บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด (มหาชน) 11.นายจรัล จึงยิ่งเรืองรุ่ง ส.ว.สระบุรี ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทปตท.สผ.จำกัด(มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) 12.พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง ถือหุ้นในบริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) 13.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ถือหุ้นบริษัททีพีไอโพลีนจำกัด(มหาชน) 14.นายจิตตพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์เปอร์เรชั่นจำกัด (มหาชน)
15.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) บริษัททรูคอร์เปอร์เรชั่นจำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีทีแอนด์ทีจำกัด(มหาชน) 16.ร.ศ.อัจฉรา เตชฤทธิพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทปตท.เคมิคอลจำกัด (มหาชน) บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด(มหาชน) และบริษัทผู้จัดการจำกัด (มหาชน)
ขณะที่ ผศ.ทิพวัลย์ สมุทรรักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา กกต.มีความเห็นยกคำร้อง เนื่องจากลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า มาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญ เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ เป็นการคุ้มครองเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน เพื่อให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นของทางสื่อต่างๆเป็นไปอย่างเสรี หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการ หรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ย่อมมีโอกาส และสามารถใช้อำนาจความเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นด้วยวิธีการใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไปขัดขวาง จำกัด บิดเบือน แทรกแซง ครอบงำ หรือไปมีอิทธิพลเหนือการนำเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นในกิจการเหล่านั้น หรือทำให้มีการควบรวม การครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำ ทำให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็นเป็นไปอย่างไม่เสรี ซึ่งจะมีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพ ในการรับรู้ หรือปิดกั้นการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน และ สามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมือง และส่วนตน เมื่อ ส.ว.เป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนก่อนและหลังวันเข้าดำรงตำแหน่ง แล้วไม่สละสิทธิ และยังคงสิทธิไว้ก่อน ย่อมสามารถใช้อำนาจความเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นกระทำการใดดังกล่าวได้จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ
“ส.ว.จึงไม่อาจคงไว้ซึ่งสิทธิการเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อที่เข้าลักษณะต้องห้าม และสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องเลือกสิทธิทางใดทางหนึ่ง เมื่อบุคคลทั้งหมดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นผู้หุ้นในกิจการดังกล่าวนี้ จึงเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์และเข้าข่ายลักษณะการกระทำอันต้องห้ามตามมาตรา 48 และ 265 (4) อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ว.ของผู้นั้นต้องสิ้นสุดลง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีบทบัญญัติห้ามไว้ใน พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 100 ( 3) ด้วย”นายสุทธิพลกล่าว
ส่วน 20 ส.ว. กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่าถือครองหุ้นที่ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 1.รศ.ดร.กอบกุล พันธุ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา 2. ดร.ธนู กุลชล ส.ว.สรรหา 3. ศ.นพ.วิรัตน์ พาณิชพงษ์ ส.ว.สรรหา 4.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา 5.นายฐิรวัตร กุลละวณิชย์ ส.ว.สรรหา 6.นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา 7. พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวาณิช ส.ว.สรรหา 8. นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา 9.นาง อุไร คุณันทกุล ส.ว.สรรหา 10.พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา 11.น.ส.ทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา 12.นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล ส.ว.กาญจบุรี 13.นายมงคล ศรีคำแหง ส.ว.จันทบุรี 14.นายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ส.ว.เชียงใหม่ 15.พล.ท. พงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน ส.ว.พะเยา 16 นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.มหาสารคาม 17.พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี 18.นางพรทิพย์ จันทร์รัตนปรีดา ส.ว.ชัยภูมิ 19.นายประสิทธิ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี และ 20.นาย นิคม ไวยรัชพาณิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา
นายสุทธิพล กล่าวว่า หลังจากนี้ กกต.จะเร่งยกร่างคำวินิจฉัยเพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งเรื่องบุคคลที่กกต.มีมติว่าขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในรายงานผลสรุปที่ทางอนุกรรมการไต่สวนได้เสนอต่อกกต.และกกต.เสียงข้างมากเห็นด้วยว่า ห้ามส.ว.ถือครองหุ้นที่เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ยังระบุถึงประเด็นโต้แย้งของส.ว.ที่ว่า เป็นการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่มีกิจการเข้าลักษณะต้องห้ามในตลาดหลักทรัพย์ โดยหวังเพียงประโยชน์จากราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดหุ้น และไม่ได้มีอำนาจในการเข้าบริหารกิจการนั้น ว่า ด้วยมีคำอธิบายว่า หุ้นสามัญ คือตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ ส.ว.ที่ถูกร้องถือหุ้นสามัญ จึงมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการด้วย เมื่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีจำนวน หรือการได้มาของหุ้นที่ถือไว้ ที่ไม่เข้าลักษณะการกระทำอันเป็นการต้องห้าม จึงไม่อาจพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งส.ว.และถือหุ้นดังกล่าว ก็ต้องถือว่าเป็นเหตุให้สิ้นสมาชิกภาพ
อีกทั้งรายงานยังระบุด้วยว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งการ ควบคุม กำกับดูแลหน่วยราชการ งานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจได้ การเป็นหุ้นส่วน หรือการเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่เข้าลักษณะการกระทำอันต้องห้ามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ 2 กรณี
1.อยู่ในมาตรา 267 ให้การกระทำตาม ม.265 เป็นการกระทำอันมีลักษณะต้องห้ามของนายกฯ และรัฐมนตรีด้วย
2. บัญญัติไว้ในมาตรา 269 ว่า นายกฯ และรัฐมนตรี ต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทต่อไป จำนวนหุ้นที่จะคงไว้ได้ มีกำหนดไว้แล้วใน พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วน และหุ้นของรัฐมนตรี 2543 และในมาตรา 269 ก็ได้บัญญัติถึงวิธีการที่นายกฯ หรือรัฐมนตรี ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการถือครองหุ้นในจำนวนที่กฎหมายกำหนดด้วยการให้แจ้งต่อประธาน ป.ป.ช. และโอนหุ้นดังกล่าวให้นิติบุคคล ซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้นถ้ามีการโอนให้นิติบุคคลฯจัดการ ก็จะไม่ถือเป็นความผิด ตามมาตรา 265
ส่วนความเห็นของอนุกรรมการไต่สวนเสียงข้างมาก ที่เห็นว่า การถือหุ้นของส.ว.ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ให้เหตุผลว่า หุ้นที่ ส.ว ที่ถูกร้องถือนั้น ได้มีการยื่นแสดงต่อป.ป.ช.แล้ว และเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนดำรงตำแหน่ง ไม่มีรายการใดได้มาภายหลังดำรงตำแหน่ง ซึ่งบุคคลจะเป็นส.ว.ต้องมีนับความเป็น ส.ว.ตั้งแต่วันเริ่มมีสมาชิกภาพคือวันเลือกตั้ง และเริ่มตั้งแต่ที่มีชื่อบุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับการสรรหา ดังนั้นก่อนวันเริ่มสมาชิกภาพบุคคลนั้นจึงไม่มีสถานะนุเป็นส.ว. และไม่อยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา 265 และไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องสละละทิ้ง หรือจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินดังกล่าว แม้ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว เพราะไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับไว้ และในมาตรา 269 ก็เป็นบทบัญญัติที่ใช้กับนายกฯ และรัฐมนตรีเท่านั้น เห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญต้องการรับรองคุ้มครอง ความชอบธรรม ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะยึดถือครอบครอง ทรัพย์สินที่ได้มา และมีอยู่ก่อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง และส.ว.เป็นเพียงฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่มีอำนาจบริหาร การถือครองทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่มีผลเสียหายเท่าผู้มีอำนาจบริหาร จึงไม่มีการบัญญัติเรื่องการคงไว้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการวินิจฉัยของกกต.ในครั้งนี้ มติเสียงข้างที่เห็นว่า16 ส.ว. กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ เป็น 3 ต่อ 1 โดยเสียงข้างน้อย คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้ง โดย กกต.เสียงข้างมากเห็นว่าควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อวางบรรทัดฐาน เช่นเดียวกับกรณีการเป็นลูกจ้างรายการชิมไปบ่นไป ของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี
สำหรับในส่วนคุณสมบัติของส.ส. ที่ถูกร้องในประเด็นเดียวกันนี้ ราว 60 คน มีรายงานว่า จะเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาได้ภายในสัปดาห์หน้า
วานนี้ ( 18 มิ.ย.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาคำร้องของ นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหาที่ยื่นคำร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการกระทำของสมาชิกวุฒิสภา 37 ราย โดยอ้างว่าเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ในลักษณะผูกขาดตัดตอน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) (4) ของรัฐธรรมนูญ อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ว.ของบุคคลดังกล่าวสิ้นสุดตาม มาตรา119( 5) ของรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากให้สมาชิกภาพความเป็นส.ว.ของส.ว. 16 คน สิ้นสุดลงตามมาตรา119( 5) ตามความเห็นของอนุกรรมการสอบสวนเสียงข้างน้อย และตามมติเอกฉันท์ของที่ปรึกษากฎหมาย กกต. ประกอบด้วย
1.ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ตรึงใจ บูรณสมภพ ส.ว.สรรหา ถือหุ้น บริษัทเทเลคอนเอเชีย คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด มหาชน 2.นายถาวร ลีนุตพงษ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด มหาชน 3.นายบุญชัย โชควัฒนา ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทสหโคเจน(ชลบุรี )จำกัด (มหาชน) 4.นายพิชัย อุตมาภินันท์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด(มหาชน)
5.นางพรพันธุ์ บุญรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นในบริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) 6.นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) 7.นายวรวุฒิ โรจนพาณิช ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) 8.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธุ์ ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) 9.นายสุพจน์ เลียดประถม ส.ว.ตราด ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)
10.นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ส.ว.พิษณุโลก บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด (มหาชน) 11.นายจรัล จึงยิ่งเรืองรุ่ง ส.ว.สระบุรี ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัทปตท.สผ.จำกัด(มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) 12.พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง ถือหุ้นในบริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด(มหาชน) 13.นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ถือหุ้นบริษัททีพีไอโพลีนจำกัด(มหาชน) 14.นายจิตตพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์เปอร์เรชั่นจำกัด (มหาชน)
15.นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม ถือหุ้นบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) บริษัททรูคอร์เปอร์เรชั่นจำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีทีแอนด์ทีจำกัด(มหาชน) 16.ร.ศ.อัจฉรา เตชฤทธิพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ถือหุ้นบริษัทปตท.เคมิคอลจำกัด (มหาชน) บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด(มหาชน) และบริษัทผู้จัดการจำกัด (มหาชน)
ขณะที่ ผศ.ทิพวัลย์ สมุทรรักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา กกต.มีความเห็นยกคำร้อง เนื่องจากลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า มาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญ เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ เป็นการคุ้มครองเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน เพื่อให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นของทางสื่อต่างๆเป็นไปอย่างเสรี หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการ หรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม ย่อมมีโอกาส และสามารถใช้อำนาจความเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นด้วยวิธีการใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไปขัดขวาง จำกัด บิดเบือน แทรกแซง ครอบงำ หรือไปมีอิทธิพลเหนือการนำเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นในกิจการเหล่านั้น หรือทำให้มีการควบรวม การครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำ ทำให้การนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็นเป็นไปอย่างไม่เสรี ซึ่งจะมีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพ ในการรับรู้ หรือปิดกั้นการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน และ สามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมือง และส่วนตน เมื่อ ส.ว.เป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนก่อนและหลังวันเข้าดำรงตำแหน่ง แล้วไม่สละสิทธิ และยังคงสิทธิไว้ก่อน ย่อมสามารถใช้อำนาจความเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้ถือหุ้นกระทำการใดดังกล่าวได้จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ
“ส.ว.จึงไม่อาจคงไว้ซึ่งสิทธิการเป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อที่เข้าลักษณะต้องห้าม และสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองไว้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องเลือกสิทธิทางใดทางหนึ่ง เมื่อบุคคลทั้งหมดเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นผู้หุ้นในกิจการดังกล่าวนี้ จึงเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์และเข้าข่ายลักษณะการกระทำอันต้องห้ามตามมาตรา 48 และ 265 (4) อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ว.ของผู้นั้นต้องสิ้นสุดลง ซึ่งเรื่องนี้ก็มีบทบัญญัติห้ามไว้ใน พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 100 ( 3) ด้วย”นายสุทธิพลกล่าว
ส่วน 20 ส.ว. กกต. มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่าถือครองหุ้นที่ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 1.รศ.ดร.กอบกุล พันธุ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา 2. ดร.ธนู กุลชล ส.ว.สรรหา 3. ศ.นพ.วิรัตน์ พาณิชพงษ์ ส.ว.สรรหา 4.นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา 5.นายฐิรวัตร กุลละวณิชย์ ส.ว.สรรหา 6.นายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา 7. พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวาณิช ส.ว.สรรหา 8. นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา 9.นาง อุไร คุณันทกุล ส.ว.สรรหา 10.พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา 11.น.ส.ทัศนา บุญทอง ส.ว.สรรหา 12.นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล ส.ว.กาญจบุรี 13.นายมงคล ศรีคำแหง ส.ว.จันทบุรี 14.นายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ส.ว.เชียงใหม่ 15.พล.ท. พงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน ส.ว.พะเยา 16 นายประวัติ ทองสมบูรณ์ ส.ว.มหาสารคาม 17.พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี 18.นางพรทิพย์ จันทร์รัตนปรีดา ส.ว.ชัยภูมิ 19.นายประสิทธิ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี และ 20.นาย นิคม ไวยรัชพาณิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา
นายสุทธิพล กล่าวว่า หลังจากนี้ กกต.จะเร่งยกร่างคำวินิจฉัยเพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งเรื่องบุคคลที่กกต.มีมติว่าขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในรายงานผลสรุปที่ทางอนุกรรมการไต่สวนได้เสนอต่อกกต.และกกต.เสียงข้างมากเห็นด้วยว่า ห้ามส.ว.ถือครองหุ้นที่เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ ยังระบุถึงประเด็นโต้แย้งของส.ว.ที่ว่า เป็นการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่มีกิจการเข้าลักษณะต้องห้ามในตลาดหลักทรัพย์ โดยหวังเพียงประโยชน์จากราคาที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดหุ้น และไม่ได้มีอำนาจในการเข้าบริหารกิจการนั้น ว่า ด้วยมีคำอธิบายว่า หุ้นสามัญ คือตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการ ส.ว.ที่ถูกร้องถือหุ้นสามัญ จึงมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการด้วย เมื่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีจำนวน หรือการได้มาของหุ้นที่ถือไว้ ที่ไม่เข้าลักษณะการกระทำอันเป็นการต้องห้าม จึงไม่อาจพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ เมื่อผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งส.ว.และถือหุ้นดังกล่าว ก็ต้องถือว่าเป็นเหตุให้สิ้นสมาชิกภาพ
อีกทั้งรายงานยังระบุด้วยว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งการ ควบคุม กำกับดูแลหน่วยราชการ งานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจได้ การเป็นหุ้นส่วน หรือการเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่เข้าลักษณะการกระทำอันต้องห้ามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ 2 กรณี
1.อยู่ในมาตรา 267 ให้การกระทำตาม ม.265 เป็นการกระทำอันมีลักษณะต้องห้ามของนายกฯ และรัฐมนตรีด้วย
2. บัญญัติไว้ในมาตรา 269 ว่า นายกฯ และรัฐมนตรี ต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทต่อไป จำนวนหุ้นที่จะคงไว้ได้ มีกำหนดไว้แล้วใน พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วน และหุ้นของรัฐมนตรี 2543 และในมาตรา 269 ก็ได้บัญญัติถึงวิธีการที่นายกฯ หรือรัฐมนตรี ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการถือครองหุ้นในจำนวนที่กฎหมายกำหนดด้วยการให้แจ้งต่อประธาน ป.ป.ช. และโอนหุ้นดังกล่าวให้นิติบุคคล ซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ดังนั้นถ้ามีการโอนให้นิติบุคคลฯจัดการ ก็จะไม่ถือเป็นความผิด ตามมาตรา 265
ส่วนความเห็นของอนุกรรมการไต่สวนเสียงข้างมาก ที่เห็นว่า การถือหุ้นของส.ว.ไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ให้เหตุผลว่า หุ้นที่ ส.ว ที่ถูกร้องถือนั้น ได้มีการยื่นแสดงต่อป.ป.ช.แล้ว และเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนดำรงตำแหน่ง ไม่มีรายการใดได้มาภายหลังดำรงตำแหน่ง ซึ่งบุคคลจะเป็นส.ว.ต้องมีนับความเป็น ส.ว.ตั้งแต่วันเริ่มมีสมาชิกภาพคือวันเลือกตั้ง และเริ่มตั้งแต่ที่มีชื่อบุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับการสรรหา ดังนั้นก่อนวันเริ่มสมาชิกภาพบุคคลนั้นจึงไม่มีสถานะนุเป็นส.ว. และไม่อยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา 265 และไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องสละละทิ้ง หรือจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินดังกล่าว แม้ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว เพราะไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับไว้ และในมาตรา 269 ก็เป็นบทบัญญัติที่ใช้กับนายกฯ และรัฐมนตรีเท่านั้น เห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญต้องการรับรองคุ้มครอง ความชอบธรรม ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะยึดถือครอบครอง ทรัพย์สินที่ได้มา และมีอยู่ก่อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง และส.ว.เป็นเพียงฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่มีอำนาจบริหาร การถือครองทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่มีผลเสียหายเท่าผู้มีอำนาจบริหาร จึงไม่มีการบัญญัติเรื่องการคงไว้ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการวินิจฉัยของกกต.ในครั้งนี้ มติเสียงข้างที่เห็นว่า16 ส.ว. กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ เป็น 3 ต่อ 1 โดยเสียงข้างน้อย คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารการเลือกตั้ง โดย กกต.เสียงข้างมากเห็นว่าควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อวางบรรทัดฐาน เช่นเดียวกับกรณีการเป็นลูกจ้างรายการชิมไปบ่นไป ของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี
สำหรับในส่วนคุณสมบัติของส.ส. ที่ถูกร้องในประเด็นเดียวกันนี้ ราว 60 คน มีรายงานว่า จะเสนอที่ประชุม กกต.พิจารณาได้ภายในสัปดาห์หน้า