ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้จัดการกองทุนสิงคโปร์ มองเศรษฐกิจจีน โอกาสฟื้นตัวสูง หลังจากอัดฉีดเงินเข้าไปเพียบ แถมตัวเลขหลายตัวดีขึ้น ชี้การผ่อนปรนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ หากควบคุมไม่ดี อาจเกิดฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้เสียได้ ลุ้นดัชนีหุ้นจีน พุ่งต่อ ด้าน บลจ.ยูโอบี (ไทย) เห็นพ้อง แต่ยังหวั่นราคาน้ำมัน ฉุดการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในเอเชีย แนะลงทุนหุ้นจีน 20% ของพอร์ตหุ้น
Mr. Wong Ann DerkSernior Director, Head of Asia Ex-Japan Team-UOB Asset Management Singapore เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจจีนมีโอกาสฟื้นตัวแล้ว หลังจากมีการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าไปในระบบเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปีที่ 2551 อยู่ที่ 9% ขณะที่จีดีพีในปีนีคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 6.5% และในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7.5% ได้ โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้น่าจะเป็นจุดต่ำที่สุดแล้ว ทั้งนี้ จีนมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 35% ของจีดีพีเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในภาคการผลิตของจีน ซึ่งมีการวัดโดยการไปสอบถามจากนักธุรกิจจีน พบว่าอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ดี โดยการปล่อยสินเชื่อมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลขการลงทุนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยอดการจับจ่ายใช้สอยตามศูนย์การค้าก็เติบโตขึ้นเช่นกัน แต่ตัวเลขการค้า และการนำเข้ายังไม่ดี
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน และคาดว่าจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเกี่ยวกับด้านสาธารณสุข สุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจีนต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้าไปในระบบอีกมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
ทั้งนี้ หากจะมีการขายหุ้น ก็จะมีนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามาซื้อหุ้นอยู่แล้ว และการที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นไปได้ แสดงว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้เลวร้ายมากนัก โดยปัจจัยเสี่ยงของจีนอยู่ที่การผ่อนปรนมาก แต่หากมีการนำเม็ดเงินลงทุนไปใช้ไม่ถูกทาง หรือควบคุมไม่ดีก็จะส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยอาจจะมีการนำเงินไปลงทุนผิดประเภท เช่น อาจมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากจนเกินไป อาจจะทำให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
นอกจากนี้ การที่ไปสร้างโรงงานมากเกินไปแต่ไม่มีคำสั่งซื้อ (Order) เข้า ไม่สามารถผลิตเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ก็จะไม่มีเงินมาคืนหนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมา ขณะเดียวกัน การที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น เมื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะกดให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมา แต่จีนน่าจะเป็นตัวการสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในภูมภาคเอเชียปรับตัวขึ้นไปได้
ส่วนตลาดหุ้น H-Share เคยปรับขึ้นไปที่ระดับ 20,000 จุด ขณะที่ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 14,000 จุด จึงมีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีกมาก นอกจากนี้ การที่จีนมีการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจะไม่ก่อให้เกิดการบริโภคจนเกินไป เชื่อว่าจีนอาจจะแตะเบรกโดยการชะลอการปล่อยสินเชื่อ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการบริโภคมากเกินไป
ด้านนายสิทธิศักดิ์ ณัฐวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ประเทศจีนเริ่มมีสัญญาณจากดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยมีคำสั่งซื้อเริ่มผงกหัวขึ้นจากระดับ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 50 ได้ และโรงงานมีการสั่งซื้อมากขึ้น และมีการผลิตมากขึ้น แสดงว่าภาคการผลิตมีการมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง ขณะที่ยอดสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ และรัฐบาลจีนในช่วง 4 เดือนแรกมีสูงถึง 5 ล้านล้านหยวน
ขณะเดียวกัน จีนเป็นประเทศที่ใช้วิธีในการจัดการเศรษฐกิจค่อนข้างเก่ง โดยมีการกระตุ้นการลงทุน และสามารถบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ ส่วนการที่ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 และไม่ต่ำกว่าระดับ 40 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะฟื้นตัวได้ และตัวเลขที่ออกมาแสดงให้เห็นว่ามาจากความต้องการซื้ออย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ยอดการซื้อจะต้องใช้เวลา 2 – 3 เดือนจึงจะมีผลอย่างชัดเจน ส่วนตัวเลขการว่างงานจะมีผลตามมาทีหลัง โดยหากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ตัวเลขดังกล่าวจะต้องไม่ปรับขึ้นไปจนเกิน 10% และจะต้องมีการปรับลดลงมา แต่หากปรับขึ้นไปอีก อาจจะบ่งชี้ให้เห็นว่าถึงภาวะเศรษฐกิจแย่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการจับตาดูราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หากราคาน้ำมันปรับไปอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะมีปัญหาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากโดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะสามารถกลับขึ้นไปได้ โดยตลาดหุ้น A-Share ในปี 2550 ดัชนีเคยอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 6,000 จุด จากนั้นดัชนีจึงปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,700 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3,000 จุดได้อีกครั้ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการปรับลดลงไป 70% และฟื้นตัวกลับมา 70% เช่นกัน คาดว่าดัชนีมีโอกาสกลับไปที่ระดับ 6,000 จุดได้ แต่จะต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้น A-Share ปรับขึ้นไปจะขึ้นไป อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยนักลงทุนควรแบ่งสินทรัพย์ลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ของพอร์ตลงทุน และแบ่งไปลงทุนในหุ้นจีนประมาณ 20%
ส่วนตัวเลขจีดีพีในปี 2554 มีโอกาสปิดส่วนต่างตรงนั้นได้ โดยตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าเศรษฐกิจ และขยับตัวล่วงหน้าบนพื้นฐานของความคาดหวัง โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาภายใน 1 ปีหรือไม่น่าจะเกิน 2 ปี ซึ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจไปถึงระดับนั้น ตลาดหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปถึงก่อน
ขณะที่นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากการที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเป็นผลจากการรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบค่อนข้างมาก ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนค่อนข้างมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20%
Mr. Wong Ann DerkSernior Director, Head of Asia Ex-Japan Team-UOB Asset Management Singapore เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจจีนมีโอกาสฟื้นตัวแล้ว หลังจากมีการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเข้าไปในระบบเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในปีที่ 2551 อยู่ที่ 9% ขณะที่จีดีพีในปีนีคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 6.5% และในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7.5% ได้ โดยคาดว่าจีดีพีปีนี้น่าจะเป็นจุดต่ำที่สุดแล้ว ทั้งนี้ จีนมีการจับจ่ายใช้สอยประมาณ 35% ของจีดีพีเท่านั้น
ขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในภาคการผลิตของจีน ซึ่งมีการวัดโดยการไปสอบถามจากนักธุรกิจจีน พบว่าอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ดี โดยการปล่อยสินเชื่อมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวเลขการลงทุนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยอดการจับจ่ายใช้สอยตามศูนย์การค้าก็เติบโตขึ้นเช่นกัน แต่ตัวเลขการค้า และการนำเข้ายังไม่ดี
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีการทุ่มงบประมาณจำนวนมาก เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน และคาดว่าจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเกี่ยวกับด้านสาธารณสุข สุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจีนต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเข้าไปในระบบอีกมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
ทั้งนี้ หากจะมีการขายหุ้น ก็จะมีนักลงทุนที่พร้อมจะเข้ามาซื้อหุ้นอยู่แล้ว และการที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นไปได้ แสดงว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้เลวร้ายมากนัก โดยปัจจัยเสี่ยงของจีนอยู่ที่การผ่อนปรนมาก แต่หากมีการนำเม็ดเงินลงทุนไปใช้ไม่ถูกทาง หรือควบคุมไม่ดีก็จะส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยอาจจะมีการนำเงินไปลงทุนผิดประเภท เช่น อาจมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากจนเกินไป อาจจะทำให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
นอกจากนี้ การที่ไปสร้างโรงงานมากเกินไปแต่ไม่มีคำสั่งซื้อ (Order) เข้า ไม่สามารถผลิตเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ก็จะไม่มีเงินมาคืนหนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมา ขณะเดียวกัน การที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น เมื่อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะกดให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมา แต่จีนน่าจะเป็นตัวการสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจในภูมภาคเอเชียปรับตัวขึ้นไปได้
ส่วนตลาดหุ้น H-Share เคยปรับขึ้นไปที่ระดับ 20,000 จุด ขณะที่ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 14,000 จุด จึงมีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีกมาก นอกจากนี้ การที่จีนมีการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจะไม่ก่อให้เกิดการบริโภคจนเกินไป เชื่อว่าจีนอาจจะแตะเบรกโดยการชะลอการปล่อยสินเชื่อ เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการบริโภคมากเกินไป
ด้านนายสิทธิศักดิ์ ณัฐวุฒิ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ประเทศจีนเริ่มมีสัญญาณจากดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยมีคำสั่งซื้อเริ่มผงกหัวขึ้นจากระดับ ปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 50 ได้ และโรงงานมีการสั่งซื้อมากขึ้น และมีการผลิตมากขึ้น แสดงว่าภาคการผลิตมีการมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง ขณะที่ยอดสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ และรัฐบาลจีนในช่วง 4 เดือนแรกมีสูงถึง 5 ล้านล้านหยวน
ขณะเดียวกัน จีนเป็นประเทศที่ใช้วิธีในการจัดการเศรษฐกิจค่อนข้างเก่ง โดยมีการกระตุ้นการลงทุน และสามารถบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ ส่วนการที่ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 และไม่ต่ำกว่าระดับ 40 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะฟื้นตัวได้ และตัวเลขที่ออกมาแสดงให้เห็นว่ามาจากความต้องการซื้ออย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ยอดการซื้อจะต้องใช้เวลา 2 – 3 เดือนจึงจะมีผลอย่างชัดเจน ส่วนตัวเลขการว่างงานจะมีผลตามมาทีหลัง โดยหากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ตัวเลขดังกล่าวจะต้องไม่ปรับขึ้นไปจนเกิน 10% และจะต้องมีการปรับลดลงมา แต่หากปรับขึ้นไปอีก อาจจะบ่งชี้ให้เห็นว่าถึงภาวะเศรษฐกิจแย่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการจับตาดูราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แต่ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หากราคาน้ำมันปรับไปอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะมีปัญหาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากโดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจีนจะสามารถกลับขึ้นไปได้ โดยตลาดหุ้น A-Share ในปี 2550 ดัชนีเคยอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 6,000 จุด จากนั้นดัชนีจึงปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,700 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3,000 จุดได้อีกครั้ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการปรับลดลงไป 70% และฟื้นตัวกลับมา 70% เช่นกัน คาดว่าดัชนีมีโอกาสกลับไปที่ระดับ 6,000 จุดได้ แต่จะต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้น A-Share ปรับขึ้นไปจะขึ้นไป อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยนักลงทุนควรแบ่งสินทรัพย์ลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ของพอร์ตลงทุน และแบ่งไปลงทุนในหุ้นจีนประมาณ 20%
ส่วนตัวเลขจีดีพีในปี 2554 มีโอกาสปิดส่วนต่างตรงนั้นได้ โดยตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปเร็วกว่าเศรษฐกิจ และขยับตัวล่วงหน้าบนพื้นฐานของความคาดหวัง โดยคาดว่าภาวะเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาภายใน 1 ปีหรือไม่น่าจะเกิน 2 ปี ซึ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจไปถึงระดับนั้น ตลาดหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปถึงก่อน
ขณะที่นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากการที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเป็นผลจากการรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบค่อนข้างมาก ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนค่อนข้างมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20%