ศูนย์ข่าวหาดใหญ่....รายงาน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานศึกษาและครูในระดับประถมศึกษา กลายเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่เป็นเครื่องมือของกลุ่มก่อความไม่สงบ ใช้ก่อเหตุเพื่อส่งสารบางอย่างถึงรัฐบาล โดยมีจุดปะทุร่วมกับเหตุการณ์ปล้นปืน 4 มกราคม 2547 จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งคนร้ายได้ลอบวางเพลิงโรงเรียน 20 แห่งใน จ.นราธิวาสในวันเดียวกัน
ขณะที่เหตุร้ายยังเกิดกับครูอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดคนร้ายได้ลอบยิง น.ส.เลขา อิสสระ ครูโรงเรียนบ้านพอเม็ง ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา เสียชีวิตเป็นศพที่ 4 หลังจากเปิดภาคเรียนการศึกษา 2552 ฉุดยอดครูและบุคลากรทางการศึกษากลายเป็นเหยื่อไฟใต้พุ่งแตะลำดับที่ 115 ในรอบกว่า 5 ปีแล้ว
ณ โรงเรียนบ้านเจ๊ะเก ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ร่องรอยแห่งความสูญเสียและคราบน้ำตายังไม่เลือนหายจากความทรงจำ เพราะที่นี่เป็นโรงเรียนแห่งเดียวที่ยังไม่มีอาคารเรียนใหม่มา 2 ปีแล้ว นับแต่ถูกคนร้ายลอบวางเพลิงย่ำรุ่งวันที่ 13 กันยายน 2550 และก่อนหน้านั้นวันที่ 11 มิถุนายน ปีเดียวกัน ยังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ คนร้ายยิงนายสมหมาย เหล่าเจริญสุข ครูโรงเรียนบ้านเจ๊ะเก เสียชีวิต ทำให้ครูทยอยกันออกไปช่วยราชการที่อื่นเกือบหมด เหลือแต่ครูที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เท่านั้น
“เผาโรงเรียนผมทำไม พวกผมทำผิดอะไร ถ้าทำร้ายครูแล้วใครจะมาสอนพวกผม” ด.ช.มาหามะซัมรี เจ๊ะหามา นักเรียนชั้น ป.5/2 ตั้งคำถามโดยที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะทุกวันนี้พวกเขาและรุ่นพี่ต้องเสียสละห้องเรียนให้รุ่นน้อง ด้วยการนั่งเรียนในเต็นท์และใต้ถุนอาคารเรียนและใต้ร่มไม้เผชิญแดดฝนตามแต่ฤดูกาลร่วม 2 ปีแล้ว
จากเหตุร้ายซ้ำซ้อนทำให้เกิดช่องว่างระหว่างการดำเนินงานขอสร้างอาคารใหม่ให้ล่าช้า เนื่องจากช่วงที่ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเจ๊ะเก ต้องรักษาการแทนที่อีกโรงเรียนหนึ่ง จึงแต่งตั้งครูที่รักษาการแทน แต่ด้วยความไม่เข้าใจขั้นตอนต่างๆ ว่าโรงเรียนต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้อาคารเรียนหลังใหม่หลังจากถูกลอบวางเพลิง และคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษา ดำเนินการทุกอย่างเอง อีกทั้งการบริหารเงินไม่ชัดเจน หลังจากจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนใหม่จึงเหลือเงินไม่เพียงพอสร้างอาคารเรียนชั่วคราว
นั่นเป็นสาเหตุให้การดำเนินการเรื่องขออาคารเรียนใหม่ชะงักไปโดยปริยาย แต่หลังจากที่เกิดความเข้าใจและเร่งดำเนินการประสานงานแล้ว ล่าสุดได้รับการยืนยันว่าจะได้อาคารเรียนใหม่อย่างแน่นอนโดยงบประมาณจากเงินกู้ของรัฐบาล ซึ่งอย่างน้อยนักเรียนรุ่นน้องอย่างเขาก็คงจะได้มีอาคารเรียนถาวรมาตรฐานเสียที
ด.ช.มาหามะซัมรี เจ๊ะหามา เล่าต่อว่า การมาเรียนแต่ละวันต้องอดทนสูง เพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้มีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตเฉกเช่นเพื่อนวัยเดียวกันในจังหวัดอื่นๆ แม้ว่าหน้าฝนต้องทนเปียกจากละอองฝนที่กระเด็นเล็ดลอดผ่านเต็นท์ผ้าใบ ซึ่งเป็นอาคารเรียนชั่วคราว ส่วนหน้าร้อนก็ต้องไอแดดร้อนระอุ
ด้านนายอาดุลย์ พรมแสง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานราธิวาส เขต3 (สพท.) กล่าวยอมรับว่า การป้องกันเหตุวางเพลิงที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนต่างๆ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต้องร่วมมือกับทุกฝ่ายดูแลทรัพย์สินด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกันให้ได้มากที่สุด ทั้งผู้ปกครอง ครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นเกราะป้องกันเหตุและให้นักเรียนได้มีสถานที่เรียน
ในขณะที่ความปลอดภัยของครูนั้น มาตรการดูแลความปลอดภัยครู ได้มีการปรับแผนเป็นระยะ โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบจัดให้มีกำลังดูแลความปลอดภัยเส้นทาง ซึ่งก่อนเดินทางจะมีการนัดแนะจุดรวมกลุ่มแต่ละวันเพื่อเดินทางเป็นหมู่คณะ
ขณะที่กำลังทหารรับผิดชอบการลาดตระเวนเส้นทางของครูและตั้งจุดเฝ้าทางทั้งช่วงเช้า-เย็น เจ้าหน้าที่สามารถดูแลครูและนักเรียนได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการสับเปลี่ยนกำลังก็ตาม และเสริมด้วยการใช้กำลังชุด ชรบ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบในทุกพื้นที่คอยเป็นหูเป็นตา รวมถึงรับผิดชอบเส้นทางในหมู่บ้าน รายงานสิ่งผิดปกติ บุคคล วัตถุต้องสงสัย
ทว่าแม้ก่อนเปิดเทอมจะมีการวางแผนและซักซ้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยร่วมกันกับหลายหน่วยงานทุกครั้ง แต่ก็สร้างความมั่นใจแก่ครูได้ 60% เท่านั้น และไม่สามารถป้องกันเหตุได้ทั้ง 100% ด้วยมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งครูและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิบัติตามแผนได้ทั้ง 100% เช่น ครูต้องทำงานเลยเวลาทำให้ออกไปล่าช้า ซึ่งเลยเวลาการ รปภ.ของชุดลาดตระเวนในจุดนั้นไปแล้ว
หรือบางครั้งเกิดจากความชะล่าใจของครูเองที่ออกจากโรงเรียนโดยไม่ประสานงานเจ้าหน้าที่ก่อน ด้วยเหตุว่าเหตุร้ายทิ้งช่วงมานาน แม้แต่การจัดเส้นทางที่ไม่สะดวกทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางมากขึ้น และบางครั้งการเดินทางร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็ทำให้ครูตกเป็นเหยื่อเสียเอง ความมั่นใจอีก 40% นั้นจึงต้องพึ่งกำลังในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น ชรบ. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และครูต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
จากการปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามแยกครู นักเรียน และโรงเรียน ออกจากกัน ความไม่มั่นใจความปลอดภัยส่งผลให้ครูใน สพท.เขต 3 นราธิวาส ขอช่วยราชการทั้งหมด 142 คน โดยมีตัวเลขครูไทยพุทธสูงถึง 117 คน จากครูทั้งหมด 1,232 คน
ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความกลมเกลียวระหว่างเพื่อนครู ชุมชน และเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะครูไทยพุทธซึ่งจะได้รับการดูแลจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดีเยี่ยงไข่ในหิน ด้วยเกรงว่าการขาดครูในพื้นที่จะทำให้นักเรียนขาดความเข้าใจในการเรียน โดยเฉพาะภาษาไทยซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการสื่อสารและการเรียนระดับมาตรฐานทุกวิชา ซึ่งปัจจุบันผลกระทบจากเหตุร้ายฉุดให้ผลการสอบวัดผลกลาง หรือ คะแนนโอเน็ตของนักศึกษาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในอันที่ 74-76 ของประเทศ
เรื่องนี้คงต้องจับตาการแก้ไขปัญหาของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่าจะได้ผลเพียงใด โดยเฉพาะการเร่งแก้ไขกฎหมายรองรับการจัดตั้งสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด ที่ให้มีใน 5 จังหวัด คือ สตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา โดยจะมีสำนักงานการศึกษาเอกชนทุกอำเภอของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา รวม 37 อำเภอ และจัดงบประมาณการศึกษาในจังหวัดภาคใต้ ปี 2553 ไว้กว่า 1,400 ล้านบาท
พร้อมทั้งขับเคลื่อนนโยบาย 3 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดงบประมาณพัฒนาเฉพาะสำหรับวิชาภาษาไทย การพัฒนาครูทั้งการศึกษาสายสามัญและอิสลามศึกษา และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีครูที่สอนในวิชาที่จบตรงตามวิชาเอก ซึ่งส่งผลต่อเด็กนักเรียนโดยตรง จึงต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วย ในรูปแบบโรงเรียนไกลกังวลที่มีการสอนทางไกล โดยต้องจัดตารางสอนให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถเรียนไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ยังมีวงเงิน 388 ล้านบาทช่วยให้ครูในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนข้าราชการ พนักงานราชการและครูอัตราจ้าง ได้รับเบี้ยเสี่ยงภัยเพิ่มอีกเดือนละ 1,500 บาท จากปัจจุบันที่ ได้รับคนละ 1,000 ต่อเดือนโดยจะให้ย้อนหลังตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2551 ถึง กันยายน 2552 แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ต้องติดตามอีกว่าเม็ดเงินเหล่านี้จะถึงมือครูเมื่อไหร่ เพราะการจ่ายเงินเสี่ยงภัยที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีนโยบายโดยมีเม็ดเงินรองรับไม่เพียงพอเสียที
ในส่วนของความเสียหายทรัพย์สินของโรงเรียน จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ กระทรวงศึกษาธิการ (ศปก.ศธ.) รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2547-19 มกราคม 2552 มีเหตุลอบวางเพลิงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา รวม 305 ครั้ง ได้แก่ จ.ปัตตานี 119 ครั้ง, จ.นราธิวาส 93 ครั้ง และ จ.สงขลา 21 ครั้ง โดยเหตุเกิดมากที่สุดในปี 2550 รวม164 ครั้ง หรือเฉลี่ยแล้วในแต่ละสัปดาห์จะมีโรงเรียนถูกลอบวางเพลิง 1 แห่ง กระทบถึงโรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอนเฉลี่ย 30-40 วัน/ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายงานดังกล่าวจะไม่มีการรายงานความเสียหายของทรัพย์สิน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ และตัวอาคารซึ่งหลายแห่งต้องสร้างใหม่ แต่จากข้อมูลการประเมินความเสียหายของโรงเรียนที่ถูกลอบวางเพลิง เฉพาะในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 3 ปี 50 รวม 25 แห่ง ตั้งแต่ เม.ย.-ธ.ค.พบว่ามีความเสียหายถึง 49,831,000 บาท โดยมีระดับความเสียหายตั้งแต่ 1,000-4,800,000 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายเพียงเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อการจัดห้องเรียน จนถึงระดับอาคารเรียนและวัสดุอุปกรณ์เสียหายทั้งหมด
เกือบ 6 ปีที่เกิดเหตุความไม่สงบ ส่งผลให้รากฐานการศึกษาถูกมอดกัดกร่อนชอนไชจนอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ตลอดจนการสูญเสียทรัพย์สินและลมหายใจแม่พิมพ์ของชาติอันประเมินค่าคุณูปการของการเสียสละนี้มิได้ น่าจะเป็นสิ่งตอกย้ำให้รัฐบาลตระหนักถึงการเร่งแก้ไขปัญหา และทุ่มเทแรงกาย ความจริงใจที่จะทำให้ครู โรงเรียน และนักเรียนได้กลับมาอยู่ร่วมกันด้วยความผาสุกอีกครั้ง