บทสรุป
ผมเชื่อว่า “ระบบโลกกำลังก้าวสู่ Chaos ที่มีจังหวะที่รุนแรงขึ้น ไม่ใช่ลดลง”
ถ้ากล่าวอย่างเปรียบเทียบ วิกฤตโลกครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากกรณีคนไข้ที่ป่วยหนัก บางครั้งอาการดูจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากได้ยาแรง แต่อาจจะทรุดใหม่ เพราะยาแรงๆ อาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ได้ เช่น ตับวาย หรือบางทีผู้ป่วยก็อาจตายได้ด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆ
ผลงานชิ้นนี้ ผมได้พาเพื่อนๆ ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์ช่วง The Great Depression ซึ่งคงพอจะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจเรื่อง สภาวะพลิกผันที่เกินคาด ได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า The Great Depression คือข่าวร้าย หรือคือเรื่องเลวร้ายอย่างสิ้นเชิง
เรื่องร้ายๆ มากๆ ก็สามารถกลับกลายเป็นข่าวดีมากๆ ได้
นี่คือ การพลิกผันอีกแบบหนึ่ง
เช่น The Great Depression ได้กลายเป็นที่มาของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยประวัติศาสตร์โลก สิ้นยุคการล่าเมืองขึ้นแบบเก่า สิ้นยุคอังกฤษเป็นใหญ่ และสิ้นยุคอุตสาหกรรมเก่า
ในกรณีประเทศโลกที่สาม ก็เกิดการเปลี่ยนขนาดใหญ่ ประเทศโลกที่สามจำนวนมากที่เคยเป็นเมืองขึ้นก็สามารถสลัดหลุดจากการเป็นเมืองขึ้น
กรณีของประเทศไทย ในช่วงที่เกิด The Great Depression ประเทศไทยเองก็เกิดการเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ นั้นคือการปฏิวัติใหญ่ พ.ศ. 2475 (หรือ ค.ศ. 1932)
ผมคิดว่า วิกฤตการเปลี่ยนผ่านใหญ่ครั้งนี้ น่าจะนำสู่การสิ้นยุคโลกาภิวัตน์ และยุคที่สหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่เหนือระบบโลก
ในกรณีของประเทศโลกที่สาม ระบบทุนนิยมแบบพึ่งพา วัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม และการสร้างหนี้ รวมทั้งระบบการเมืองแบบรัฐบริวารที่ขึ้นต่อสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมทรุดลง
เมื่อระบบเก่าพังตัวลง ก็เปิดเงื่อนไขหรือเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างสรรค์ระบบใหม่ขึ้นแทนที่
จากนี้ไป...เราต้องหาคำตอบว่า
“อะไรคือ ระบบเศรษฐกิจใหม่ ระบบการเมืองใหม่ และระบอบวัฒนธรรมใหม่”
ในด้านเศรษฐกิจ ผมเองคิดว่า
คำตอบประการแรก น่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างสูง และมีตลาดภายในที่เข้มแข็ง
อีกคำตอบหนึ่ง อาจจะเป็นการปฏิวัติสีเขียว และการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน
และคือ การผนึกเอเชียเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นมหาเอเชียบูรพา ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ส่วนในด้านการเมือง
คำตอบหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตยโดยตรง และแบบมีส่วนร่วม ซึ่งมีรากฐานอยู่กับการสร้างระบบชุมชนการเมืองที่เข้มแข็ง ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างสูงทางการเมืองในการควบคุม แทนที่การเมืองเก่าแบบรัฐสภาที่โคตรโกง หรือการเมืองแบบธนาธิปไตย
ในด้านวัฒนธรรม
ผมคิดว่า วัฒนธรรมโลกใหม่น่าจะมีฐานมาจากวัฒนธรรมตะวันออกโบราณ ที่รักและเอื้ออาทรต่อธรรมชาติและต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่ก็อย่าหลงมองโลกเฉพาะด้านดีจนเกินไป
ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน สิ่งที่ต้องระวังมากๆ คือการพลิกผันจากสภาวะที่เลวร้ายอยู่แล้วไปสู่สภาวะที่เลวร้ายและรุนแรงอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน นอกจากเราจะต้องเผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมแล้ว ระบบโลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตโรคร้ายและวิกฤตสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะรุนแรงกว่าเดิม หรือเพิ่มขนาด เพิ่มจำนวน และเพิ่มความรุนแรงขึ้นแบบทวีคูณ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศจีนต้องประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาแล้ว อเมริกาเจอพายุหมุนที่รุนแรงเกินคาดมาก พม่าก็โดนพายุนาร์กิสถล่ม ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆไทยก็พบกับสึนามิครั้งประวัติศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่ง อเมริกาและยุโรปเจอโรควัวบ้า บ้านเราและเอเชียก็เจอโรคไก่บ้า มาเลเซียเคยเจอโรคหมูบ้ามาแล้ว
วันนี้ สหรัฐอเมริกากำลังเจอเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้
อย่าคิดว่า ปัญหาเรื่องโรคร้ายเป็นเรื่องเล็กๆ
เพราะถ้าการแพร่ระบาดยังไม่ยุติ และลุกลามขยายตัวไปเรื่อยๆ หรือเชื้อโรคแปลงพันธุ์ไปเรื่อยๆ ก็จะนำความตาย (ครั้งประวัติศาสตร์) มาสู่มนุษยชาติได้
ผมคิดว่า วิบัติภัยธรรมชาติขนาดใหญ่...ถึงใหญ่มาก รวมทั้งสงครามเชื้อโรคขนาดใหญ่และรุนแรงมาก น่าจะแสดงบทบาทคล้ายกับโรคแทรกซ้อนซึ่งจะเข้ามาเป็นระยะๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้พลิกผันรุนแรงกว่าช่วงที่เกิด The Great Depression ได้
ครั้งหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งเคยซักถามผมว่า
“จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่”
ผมตอบเขา
“น่าจะยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ในช่วงที่เกิดการพลิกผันรุนแรง สิ่งที่เราคาดว่า ไม่น่าจะเกิด ก็อาจก่อเกิดขึ้นได้
แท้จริงแล้ว ไม่มีใครทำนายอนาคตในช่วงพลิกผันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือบอกได้แน่ๆว่า จะเป็นไปอย่างไร”
ผมอยากฝากย้ำในท้ายนี้ว่า
เวลานี้ เราต้องติดตามศึกษา เรียนรู้เรื่องราวการพลิกผันของโลกตลอดเวลา เราจึงจะสามารถประเมินทิศทางและการเคลื่อนตัวได้ใกล้กับความจริง เพราะ...อนาคตจากนี้ไปคือ ความไม่แน่นอน
จนกว่าจะพบกันอีก
ยุค ศรีอาริยะ
ผมเชื่อว่า “ระบบโลกกำลังก้าวสู่ Chaos ที่มีจังหวะที่รุนแรงขึ้น ไม่ใช่ลดลง”
ถ้ากล่าวอย่างเปรียบเทียบ วิกฤตโลกครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากกรณีคนไข้ที่ป่วยหนัก บางครั้งอาการดูจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากได้ยาแรง แต่อาจจะทรุดใหม่ เพราะยาแรงๆ อาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ได้ เช่น ตับวาย หรือบางทีผู้ป่วยก็อาจตายได้ด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆ
ผลงานชิ้นนี้ ผมได้พาเพื่อนๆ ย้อนศึกษาประวัติศาสตร์ช่วง The Great Depression ซึ่งคงพอจะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจเรื่อง สภาวะพลิกผันที่เกินคาด ได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า The Great Depression คือข่าวร้าย หรือคือเรื่องเลวร้ายอย่างสิ้นเชิง
เรื่องร้ายๆ มากๆ ก็สามารถกลับกลายเป็นข่าวดีมากๆ ได้
นี่คือ การพลิกผันอีกแบบหนึ่ง
เช่น The Great Depression ได้กลายเป็นที่มาของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยประวัติศาสตร์โลก สิ้นยุคการล่าเมืองขึ้นแบบเก่า สิ้นยุคอังกฤษเป็นใหญ่ และสิ้นยุคอุตสาหกรรมเก่า
ในกรณีประเทศโลกที่สาม ก็เกิดการเปลี่ยนขนาดใหญ่ ประเทศโลกที่สามจำนวนมากที่เคยเป็นเมืองขึ้นก็สามารถสลัดหลุดจากการเป็นเมืองขึ้น
กรณีของประเทศไทย ในช่วงที่เกิด The Great Depression ประเทศไทยเองก็เกิดการเปลี่ยนผ่านประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ นั้นคือการปฏิวัติใหญ่ พ.ศ. 2475 (หรือ ค.ศ. 1932)
ผมคิดว่า วิกฤตการเปลี่ยนผ่านใหญ่ครั้งนี้ น่าจะนำสู่การสิ้นยุคโลกาภิวัตน์ และยุคที่สหรัฐอเมริกาเป็นใหญ่เหนือระบบโลก
ในกรณีของประเทศโลกที่สาม ระบบทุนนิยมแบบพึ่งพา วัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม และการสร้างหนี้ รวมทั้งระบบการเมืองแบบรัฐบริวารที่ขึ้นต่อสหรัฐอเมริกาจะเสื่อมทรุดลง
เมื่อระบบเก่าพังตัวลง ก็เปิดเงื่อนไขหรือเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างสรรค์ระบบใหม่ขึ้นแทนที่
จากนี้ไป...เราต้องหาคำตอบว่า
“อะไรคือ ระบบเศรษฐกิจใหม่ ระบบการเมืองใหม่ และระบอบวัฒนธรรมใหม่”
ในด้านเศรษฐกิจ ผมเองคิดว่า
คำตอบประการแรก น่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างสูง และมีตลาดภายในที่เข้มแข็ง
อีกคำตอบหนึ่ง อาจจะเป็นการปฏิวัติสีเขียว และการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน
และคือ การผนึกเอเชียเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นมหาเอเชียบูรพา ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
ส่วนในด้านการเมือง
คำตอบหนึ่ง น่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตยโดยตรง และแบบมีส่วนร่วม ซึ่งมีรากฐานอยู่กับการสร้างระบบชุมชนการเมืองที่เข้มแข็ง ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทอย่างสูงทางการเมืองในการควบคุม แทนที่การเมืองเก่าแบบรัฐสภาที่โคตรโกง หรือการเมืองแบบธนาธิปไตย
ในด้านวัฒนธรรม
ผมคิดว่า วัฒนธรรมโลกใหม่น่าจะมีฐานมาจากวัฒนธรรมตะวันออกโบราณ ที่รักและเอื้ออาทรต่อธรรมชาติและต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่ก็อย่าหลงมองโลกเฉพาะด้านดีจนเกินไป
ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน สิ่งที่ต้องระวังมากๆ คือการพลิกผันจากสภาวะที่เลวร้ายอยู่แล้วไปสู่สภาวะที่เลวร้ายและรุนแรงอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน นอกจากเราจะต้องเผชิญวิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมแล้ว ระบบโลกยังต้องเผชิญกับวิกฤตโรคร้ายและวิกฤตสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะรุนแรงกว่าเดิม หรือเพิ่มขนาด เพิ่มจำนวน และเพิ่มความรุนแรงขึ้นแบบทวีคูณ
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศจีนต้องประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาแล้ว อเมริกาเจอพายุหมุนที่รุนแรงเกินคาดมาก พม่าก็โดนพายุนาร์กิสถล่ม ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆไทยก็พบกับสึนามิครั้งประวัติศาสตร์
ในอีกด้านหนึ่ง อเมริกาและยุโรปเจอโรควัวบ้า บ้านเราและเอเชียก็เจอโรคไก่บ้า มาเลเซียเคยเจอโรคหมูบ้ามาแล้ว
วันนี้ สหรัฐอเมริกากำลังเจอเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้
อย่าคิดว่า ปัญหาเรื่องโรคร้ายเป็นเรื่องเล็กๆ
เพราะถ้าการแพร่ระบาดยังไม่ยุติ และลุกลามขยายตัวไปเรื่อยๆ หรือเชื้อโรคแปลงพันธุ์ไปเรื่อยๆ ก็จะนำความตาย (ครั้งประวัติศาสตร์) มาสู่มนุษยชาติได้
ผมคิดว่า วิบัติภัยธรรมชาติขนาดใหญ่...ถึงใหญ่มาก รวมทั้งสงครามเชื้อโรคขนาดใหญ่และรุนแรงมาก น่าจะแสดงบทบาทคล้ายกับโรคแทรกซ้อนซึ่งจะเข้ามาเป็นระยะๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะทำให้วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้พลิกผันรุนแรงกว่าช่วงที่เกิด The Great Depression ได้
ครั้งหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งเคยซักถามผมว่า
“จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่”
ผมตอบเขา
“น่าจะยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ในช่วงที่เกิดการพลิกผันรุนแรง สิ่งที่เราคาดว่า ไม่น่าจะเกิด ก็อาจก่อเกิดขึ้นได้
แท้จริงแล้ว ไม่มีใครทำนายอนาคตในช่วงพลิกผันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือบอกได้แน่ๆว่า จะเป็นไปอย่างไร”
ผมอยากฝากย้ำในท้ายนี้ว่า
เวลานี้ เราต้องติดตามศึกษา เรียนรู้เรื่องราวการพลิกผันของโลกตลอดเวลา เราจึงจะสามารถประเมินทิศทางและการเคลื่อนตัวได้ใกล้กับความจริง เพราะ...อนาคตจากนี้ไปคือ ความไม่แน่นอน
จนกว่าจะพบกันอีก
ยุค ศรีอาริยะ