สธ.พบผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯเพิ่มอีก 71 ราย ยอดรวมพุ่ง 589 ราย ผู้เชี่ยวชาญยันเชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างจริง แต่ความรุนแรงโรคอยู่ระดับต่ำ พร้อมท้วง WHOเปลี่ยนระบบรายงานพื้นที่ระบาดควบคู่กับความรุนแรงโรค ป้องกันคนเข้าใจผิด คาดปีนี้ไทยมีผู้ป่วยหวัดตามฤดูกาล รวมหวัดสายพันธุ์ใหม่ เพิ่ม 1.5 เท่า หรือป่วยเป็น 1.2 ล้านคน จากเดิมป่วยหวัดตามฤดูกาล 9 แสนคนต่อปี
วานนี้(19 มิ.ย.ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์ควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในรอบ 24 ชั่วโมง มีทั้งหมด 71 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่มนักเรียนเดิม จำนวน 63 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 7 ราย ที่เหลืออีก 1 ราย เป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการไม่แตกต่างกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ขณะที่ยอดรวมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 589 ราย
ด้านนพ.ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้กับองค์การอนามัย(WHO) และนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เพราะในช่วงที่มีการระบาดระยะแรกๆ องค์การอนามัยโลกและทุกๆ ประเทศ ได้ออกประกาศเตือนอันตรายของโรค และมีมาตรการพิเศษควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัว และมีจำนวนมากที่แตกตื่นหวาดกลัวโรคนี้ แต่เมื่อมีข้อมูลวิชาการยืนยันได้ว่าเชื้อไวรัสใหม่นี้ ไม่มีความรุนแรงอย่างที่คิดไว้ หลายประเทศได้ยกเลิกมาตรการพิเศษแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนนาดา ออสเตรเลีย เป็นต้น จึงทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่
“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนแตกตื่นเป็นเพราะการประกาศเพิ่มระดับการแพร่ระบาดขององค์การอนามัยโลกที่เพิ่มจาก ระดับ 4 เป็น ระดับ 5 และ6 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด ซึ่งการประกาศดังกล่าว เป็นเพียงการบอกถึงพื้นที่ที่พบว่ามีการระบาดของโรคเท่านั้น แต่ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการเพิ่มระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งที่ผ่านมานานาชาติ ได้ท้วงติงให้ องค์การอนามัยโลกปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การประกาศดังกล่าว และในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มีการหารือถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
นพ.ศุภมิตร กล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งที่ระบาดตามฤดูกาล และสายพันธุ์ใหม่ 2009 รวมแล้วประมาณ 1.2 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า จากเดิมที่มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ปีละ 9 แสนคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น จากเดิมปีละ 320 ราย เพิ่มเป็น 400 ราย
แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุขเตรียมจะเสนอการรายงานให้ข้อมูลกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จากเดิมที่องค์การอนามัยโลกใช้ข้อมูลเชิงการแพร่กระจายเป็น 6 ระดับ ควบคู่กับข้อมูลเชิงความรุนแรงของโรคไปพร้อมๆ กัน โดยจะนำเสนอต่อนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เพื่อตัดสินใจเป็นแนวทางต่อไปภายใน 22-23 มิ.ย.นี้
สำหรับระดับความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่จะนำเสนอแนวทางใหม่นี้ แบ่งเป็น ระดับต่ำคือ มีอัตราการเสียชีวิต 0.1-0.5% ระดับปานกลางมีอัตราเสียชีวิต 0.5-1% ระดับสูงมีอัตราการเสียชีวิต 1-2% และระดับสูงมาก คือมี อัตราการเสียชีวิตมากกว่าหรือเท่ากับ2%
นอกจากนั้น จะพยายามประสานงานไปยังองค์การอนามัยโลก เพื่อให้เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการให้มีการจัดทำหลักเกณฑ์ในการรายงานระดับความรุนแรงของโรคให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก และรายงานควบคู่ไปกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่องค์การอนามัยโลกประกาศ
ส่วนการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์จะพิจารณาตามอาการรุนแรงและกลุ่มเสี่ยงโดยไม่สนใจเรื่องระดับความรุนแรงของโรค เช่นเดียวกับการสต็อกยาและวัคซีนก็ต้องสนับสนุนต่อไป ไม่ว่าความรุนแรงอยู่ระดับใด และการคัดกรองผู้เดินทางระหว่างประเทศความรุนแรงในระดับต่ำ ปานกลางไม่มีความจำเป็น แต่จะกลับมาพิจารณาดำเนินการอีกครั้งในสถานการณ์ความรุนแรงของโรคระดับสูงขึ้นไป
“ที่ผ่านมาจุดด้อยของสธ.คืออยู่ที่การไม่ได้อธิบายให้สาธารณชนทราบถึงสถานการณ์ความรุนแรงของโรคให้ทราบควบคู่ไปกับสถานการณ์การแพร่กระจายที่องค์การอนามัยโลกประกาศอยู่ รวมถึงสถานการณ์การรับมือของโรคดังกล่าวได้นำแผนการรับมือโรคไข้หวัดนกที่มีอัตราการเสียชีวิต60%มาใช้ ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่เมื่อข้อมูลอัตราการเสียชีวิตของโรคดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.4%ความรุนแรงลดลงทำให้ตั้งตัวไม่ทัน จนประชาชนเกิดความสับสน”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า แม้ว่าขณะนี้ข้อมูลเชิงการแพร่กระจายของไทยอยู่ระดับซี คือการแพร่ระบาดภายในประเทศวงกว้าง แต่ระดับความรุนแรงของโรคยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรเชื่อว่าโรคดังกล่าวจะแพร่กระจายไปทั่ว 76 จังหวัด
วานนี้(19 มิ.ย.ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการศูนย์ควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ว่า ที่ประชุมได้รับรายงานผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในรอบ 24 ชั่วโมง มีทั้งหมด 71 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อในกลุ่มนักเรียนเดิม จำนวน 63 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 7 ราย ที่เหลืออีก 1 ราย เป็นการติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการไม่แตกต่างกับไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ขณะที่ยอดรวมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 589 ราย
ด้านนพ.ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้กับองค์การอนามัย(WHO) และนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย เพราะในช่วงที่มีการระบาดระยะแรกๆ องค์การอนามัยโลกและทุกๆ ประเทศ ได้ออกประกาศเตือนอันตรายของโรค และมีมาตรการพิเศษควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัว และมีจำนวนมากที่แตกตื่นหวาดกลัวโรคนี้ แต่เมื่อมีข้อมูลวิชาการยืนยันได้ว่าเชื้อไวรัสใหม่นี้ ไม่มีความรุนแรงอย่างที่คิดไว้ หลายประเทศได้ยกเลิกมาตรการพิเศษแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนนาดา ออสเตรเลีย เป็นต้น จึงทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่
“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนแตกตื่นเป็นเพราะการประกาศเพิ่มระดับการแพร่ระบาดขององค์การอนามัยโลกที่เพิ่มจาก ระดับ 4 เป็น ระดับ 5 และ6 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด ซึ่งการประกาศดังกล่าว เป็นเพียงการบอกถึงพื้นที่ที่พบว่ามีการระบาดของโรคเท่านั้น แต่ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการเพิ่มระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งที่ผ่านมานานาชาติ ได้ท้วงติงให้ องค์การอนามัยโลกปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การประกาศดังกล่าว และในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มีการหารือถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”
นพ.ศุภมิตร กล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั้งที่ระบาดตามฤดูกาล และสายพันธุ์ใหม่ 2009 รวมแล้วประมาณ 1.2 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า จากเดิมที่มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ปีละ 9 แสนคน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น จากเดิมปีละ 320 ราย เพิ่มเป็น 400 ราย
แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ทีมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุขเตรียมจะเสนอการรายงานให้ข้อมูลกับสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จากเดิมที่องค์การอนามัยโลกใช้ข้อมูลเชิงการแพร่กระจายเป็น 6 ระดับ ควบคู่กับข้อมูลเชิงความรุนแรงของโรคไปพร้อมๆ กัน โดยจะนำเสนอต่อนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เพื่อตัดสินใจเป็นแนวทางต่อไปภายใน 22-23 มิ.ย.นี้
สำหรับระดับความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่จะนำเสนอแนวทางใหม่นี้ แบ่งเป็น ระดับต่ำคือ มีอัตราการเสียชีวิต 0.1-0.5% ระดับปานกลางมีอัตราเสียชีวิต 0.5-1% ระดับสูงมีอัตราการเสียชีวิต 1-2% และระดับสูงมาก คือมี อัตราการเสียชีวิตมากกว่าหรือเท่ากับ2%
นอกจากนั้น จะพยายามประสานงานไปยังองค์การอนามัยโลก เพื่อให้เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการให้มีการจัดทำหลักเกณฑ์ในการรายงานระดับความรุนแรงของโรคให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก และรายงานควบคู่ไปกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่องค์การอนามัยโลกประกาศ
ส่วนการให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่โอเซลทามิเวียร์จะพิจารณาตามอาการรุนแรงและกลุ่มเสี่ยงโดยไม่สนใจเรื่องระดับความรุนแรงของโรค เช่นเดียวกับการสต็อกยาและวัคซีนก็ต้องสนับสนุนต่อไป ไม่ว่าความรุนแรงอยู่ระดับใด และการคัดกรองผู้เดินทางระหว่างประเทศความรุนแรงในระดับต่ำ ปานกลางไม่มีความจำเป็น แต่จะกลับมาพิจารณาดำเนินการอีกครั้งในสถานการณ์ความรุนแรงของโรคระดับสูงขึ้นไป
“ที่ผ่านมาจุดด้อยของสธ.คืออยู่ที่การไม่ได้อธิบายให้สาธารณชนทราบถึงสถานการณ์ความรุนแรงของโรคให้ทราบควบคู่ไปกับสถานการณ์การแพร่กระจายที่องค์การอนามัยโลกประกาศอยู่ รวมถึงสถานการณ์การรับมือของโรคดังกล่าวได้นำแผนการรับมือโรคไข้หวัดนกที่มีอัตราการเสียชีวิต60%มาใช้ ซึ่งเป็นการดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่เมื่อข้อมูลอัตราการเสียชีวิตของโรคดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.4%ความรุนแรงลดลงทำให้ตั้งตัวไม่ทัน จนประชาชนเกิดความสับสน”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า แม้ว่าขณะนี้ข้อมูลเชิงการแพร่กระจายของไทยอยู่ระดับซี คือการแพร่ระบาดภายในประเทศวงกว้าง แต่ระดับความรุนแรงของโรคยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรเชื่อว่าโรคดังกล่าวจะแพร่กระจายไปทั่ว 76 จังหวัด
