xs
xsm
sm
md
lg

‘มาร์ค’ล้มประมูลข้าวฉาวจับตาศึกงัดข้อยกใหม่ปะทุ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ปิดฉาก!ประมูลข้าวฉาว 2.6 ล้านตัน นายกรัฐมนตรีสั่ง ”พาณิชย์” ล้มประมูล แต่ยอมเปิดทางให้ผู้ส่งออกที่จ่ายเงินแล้วจำนวน 2.4 แสนตันขนข้าวออกไปได้ คาดปมปัญหาเงินใต้โต๊ะ 2 พันล้านเคลียร์กันวุ่นแน่ เหตุมีข่าวเอกชนจ่ายไปแล้วหลังการอนุมัติขาย จับตาถกระบายมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์วันนี้ ศึกงัดข้อรอบใหม่อาจปะทุซ้ำ

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ยกเลิกการประมูลข้าว 2.6 ล้านตัน ให้แก่ผู้ส่งออกที่ชนะการประมูล 17 ราย ซึ่งจะมีผลเฉพาะในส่วนข้าวที่ยังไม่มีการชำระเงินจากภาคเอกชน แต่ในส่วนที่อคส.รับชำระเงินไปแล้วปริมาณ 2.4 แสนตันก็ให้เดินหน้าขนข้าวออกจากคลังต่อไปได้
ทั้งนี้ รมว.พาณิชย์ ได้ลงนามในหนังสือแจ้งถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) ขอให้ยกเลิกสัญญาที่อคส. ได้ทำไว้กับเอกชนทั้งหมด ตามขั้นตอนที่นายกรัฐมนตรีสั่งมาแล้ว ซึ่งอคส.ในฐานะที่เป็นคู่สัญญา จะต้องไปแจ้งรายละเอียดกับทางผู้ส่งออกต่อไป ส่วนจะถูกเอกชนฟ้องร้องได้หรือไม่นั้น ยังไม่มีความชัดเจน เป็นหน้าที่ อคส. ที่จะต้องไปเจรจาไกล่เกลี่ยและหาทางออก
“รมว.พาณิชย์ ได้แจ้งอคส.ไปแล้ว ให้หยุดสัญญาไว้ก่อน ซึ่งอคส. คงต้องไปดำเนินการต่อ ตามหน้าที่ที่สั่งต่อๆ กันลงมา แต่เรื่องที่อคส. จะถูกฟ้องหรือไม่นั้นตอนนี้ยังไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ใน 1-2 วันนี้ จะต้องมีความชัดเจนทั้งหมด ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์ จะมีการประชุมหลักเกณฑ์พิจารณาระบายข้าว ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาต่อไป” รายงานข่าวระบ

***เอกชนยอมรับพร้อมกลับร่วมประมูลใหม่

นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธานบริษัท เอเชีย โกลเดนท์ไรซ์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทไม่มีแผนที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการที่รัฐบาลยกเลิกการประมูลข้าว แม้ก่อนหน้านี้บริษัทจะมีการรับออเดอร์เพื่อส่งออกไปบ้างแล้ว แต่โชคดีที่ยังมีจำนวนไม่มาก ซึ่งส่วนตัวแล้วคงไม่มีปัญหาที่รัฐจะยกเลิกระบายข้าวรอบนี้ ถือเป็นเรื่องดีที่รัฐมีความชัดเจนตัดสินใจ และหากรัฐกลับมาเปิดประมูลใหม่ บริษัทก็พร้อมจะกลับไปร่วมประมูลอีกครั้ง
นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพีอินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวว่า การล้มประมูลข้าวของรัฐบาลนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะหากไม่พอใจราคาก็พร้อมจะล้มประมูลได้ทุกเมื่อ และไม่ถือว่าจะสร้างความเสียหายนัก ซึ่งมีตัวอย่างจากประเทศฟิลิปปินส์ ที่กว่าจะตกลงได้ก็ล้มประมูลไป 3-4 ครั้ง แต่ในส่วนของบริษัทไมได้รับความเสียหายมาก เพราะมีปริมาณไม่กี่หมื่นตัน และยังไม่ได้จ่ายเงิน แต่ยืนยันว่าหากรัฐบาลเปิดประมูลใหม่ก็พร้อมจะเข้าไปเสนอราคา แต่สำหรับผู้ประมูลรายอื่นที่มีความจำเป็นเพราะมีออเดอร์และเรือรออยู่ก็คงต้องขนตามปกติ ส่วนจะฟ้องร้องหรืออย่างไรต้องแล้วแต่กรณีไป
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าว กล่าวว่า ผู้ชนะการประมูลข้าวทั้ง 17 ราย เกิดความแตกตื่น หลังจากมีข่าวว่ากระทรวงพาณิชย์จะยกเลิกผลประมูลข้าวทั้งหมด ทำให้ผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลและได้ชำระเงินไปแล้ว รีบส่งรถบรรทุกไปขนข้าวในโกดังออกมาเกือบทั้งหมด และมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะมีการกลับนโยบายอย่างรวดเร็ว เพราะก่อนหน้านี้ วันที่ 16 มิ.ย. รมว.พาณิชย์ เพิ่งประกาศให้เอกชนสามารถขนย้ายข้าวได้
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ยกเลิกการประมูลข้าวในครั้งนี้ ทำให้เกิดความชัดเจนขึ้นมาทันทีว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีความชัดเจนเลยว่ารัฐบาลจะเอายังไงกันแน่ เพราะจะล้มก็ไม่ล้ม แต่ก็ไม่ให้ขนข้าวออก รวมทั้งมีข่าวออกมาต่างๆ นานา ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถวางแผนการส่งออกได้

*** เคลียร์ใต้โต๊ะวุ่นแน่

อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปคงเป็นเรื่องของผู้ส่งออกทั้ง 17 รายที่ชนะการประมูลว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของผู้ส่งออกที่ได้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับนักการเมืองบางพรรคไปแล้ว เพราะตามธรรมเนียมปฏิบัติในการซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาล จะขอให้ผู้ส่งออกจ่ายเงินทันทีหลังจากที่ได้มีการอนุมัติขายข้าวให้แล้ว โดยอัตราส่วนในการจ่ายเงินจากการประมูลข้าวครั้งนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณตันละ 1,000 บาท จากกำไรที่ผู้ส่งออกได้รับระหว่างส่วนต่างจากราคาขายกับราคาตลาดอยู่ที่ประมาณตันละ 3,000 บาท โดยหักค่าบริหารจัดการ ค่าปรับปรุงคุณภาพ ค่าขนย้ายออกประมาณตันละ 1,000 บาท ทำให้ยังเหลือกำไรตันละ 2,000 บาท
ทำให้มีการประเมินกันว่า เงินส่วนต่างที่จะต้องจ่ายให้นักการเมืองจากการขายข้าวครั้งนี้สูงถึง 2,000 ล้านบาท จากการอนุมัติขายข้าวปริมาณกว่า 2 ล้านตัน
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า การเปิดประมูลข้าวในสมัยที่นางพรทิวาเป็นรมว.พาณิชย์ มีปัญหาเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเปิดประมูล ซึ่งปกติการเปิดประมูลข้าว กขช. ได้กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ แต่นางพรทิวาได้อาศัยอำนาจในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการตลาด ได้มอบหมายให้อคส. เป็นผู้จัดการประมูลข้าว
โดยในระหว่างการเปิดประมูลข้าว ก็เกิดปัญหาศึกแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองด้วยกันเอง กล่าวคือ นักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล ได้มีการเจรจากับพ่อค้าข้าวบางรายเอาไว้แล้วว่าจะขายข้าวให้ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดปกติ เพื่อให้เกิดส่วนต่างกำไรมากขึ้น และนักการเมืองจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนมาก แต่ก็มีปัญหาเมื่อมีอดีตรมช.พาณิชย์ ผลักดันให้บริษัท วุฒิกวี จำกัด เสนอตัวเข้ามาประมูลข้าว และให้ราคาซื้อข้าวสูงถึงตันละ 1.46 หมื่นบาท ทำให้แผนการขายให้กับผู้ส่งออกบางรายในราคาต่ำ ก็เกิดการสะดุดทันที
แต่ทั้งนี้ ก็นับว่าโชคดีที่วุฒิกวี ไม่ผ่านคุณสมบัติ เนื่องจากถูกอคส. ขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) ทำให้การเรียกผลประโยชน์จากผู้ส่งออกยังสามารถทำได้ต่อไป แต่ก็ได้ในอัตราที่น้อยลง เพราะวุฒิกวีเสนอซื้อราคาเอาไว้สูง ทำให้ผู้ส่งออกที่ต้องการจะได้ข้าวต้องปรับราคาขึ้นไปตาม
นอกจากนี้ พอมีปัญหาความไม่ชอบมาพากล ประกอบการการขายข้าวในครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลขาดทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เข้ามาดูแล และตั้งข้อสังเกตในการขายข้าวครั้งนี้ จนทำให้มีมติครม.ออกมาว่าการระบายสินค้าเกษตรที่รัฐบาลรับจำนำเข้ามาทุกชนิด หากมีปัญหาทำให้รัฐบาลต้องขาดทุน ก็ขอให้เสนอให้ครม.พิจารณาเพื่อร่วมกับรับผิดชอบด้วย จนทำให้การระบายข้าวต้องคาราคาซังกันมา จนผู้ส่งออกหลายๆ รายได้ขู่ที่จะทำการฟ้องร้องอคส.
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา นางพรทิวา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นสิทธิ์ที่อคส. จะอนุญาตให้ผู้ส่งออกขนข้าวที่ชนะการประมูล และได้มีการจ่ายเงินแล้วขนข้าวออกไปได้ โดยที่ไม่ต้องรอผลการตีความจากสำนักงานอัยการสูงสุด ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้มีการตีความว่าจะเลิกสัญญาได้หรือไม่
โดยนางพรทิวา ระบุว่า เป็นเพียงการให้คำแนะนำให้อคส. ไปดำเนินการเสนอให้มีการตีความ ส่วนจะทำหรือไม่เป็นเรื่องของอคส. ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. นางพรทิวาเองเป็นผู้ระบุว่าได้ส่งเรื่องการยกเลิกสัญญาไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความเอง

***จับตาศึกงัดข้อยกใหม่ปะทุ

วันเดียวกันนี้ นางพรทิวาได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการการตลาดมันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อหารือถึงยุทธศาสตร์การระบายสินค้าเกษตรทั้ง 2 ชนิด
นางพรทิวากล่าวว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดได้ เพราะเป็นเรื่องลับ แต่การดำเนินการยืนยันได้ว่าจะเกิดประโยชน์กับประเทศ และรัฐบาลต้องขาดทุนน้อยที่สุด โดยจะเสนอให้คณะกรรมการมันสำปะหลังแห่งชาติ และคณะกรรมการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แห่งชาติ ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาในวันนี้ (18 มิ.ย.)
“ยุทธศาสตร์การระบายที่จะนำมาใช้จะมีหลายๆ วิธี ส่วนจะเลือกวิธีการใดในการระบายนั้น จะมีการหารือกันในวันนี้” นางพรทิวากล่าว
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า แนวทางที่จะนำมาใช้ในการระบายสินค้าเกษตรทั้ง 2 ชนิดนั้น จะเสนอให้มีการระบายมันเส้น 2-3 ล้านตัน แป้งมัน 5 แสนตัน โดยจะเปิดประมูลให้แก่บริษัทนำเข้าจากต่างประเทศ (จีทูพี) และกันไว้ 7.3 แสนตัน เพื่อนำไปซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะระบาย 1 ล้านตัน เปิดประมูลให้แก่ผู้ส่งออกในประเทศเพื่อทำการส่งออกทั้งหมด เพื่อป้องกันปัญหาการนำมาหมุนเวียนใช้ในประเทศ และไม่ให้กระทบต่อราคาภายในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือนก.ค.ที่ผลผลิตใหม่จะออกสู่ตลาด
ทั้งนี้ ในการระบายจะเปิดให้มีการประมูลเป็นรายคลัง และกำหนดให้มีราคากลาง โดยคิดจากราคาตลาดโลก ราคาภายในประเทศ หักทอนค่าบริหารจัดการ ค่าขนส่ง
“การเปิดประมูลในครั้งนี้ มีรูปแบบใกล้เคียงกับการเปิดประมูลครั้งก่อนที่ล้มประมูลไป แต่สิ่งที่เพิ่มเข้าไป ก็คือ การกำหนดราคากลาง เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการขาย ส่วนคณะกรรมการชุดใหญ่ จะเห็นด้วยหรือไม่ หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการระบาย ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณา” รายงานข่าวระบุ
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า แนวทางที่กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่ดูแลมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คงจะมีปัญหาอีกแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่กำหนดให้มีการส่งออกเพียงอย่างเดียว เพราะผู้ผลิตอาหารสัตว์ในประเทศก็อยากที่จะซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในส่วนที่รัฐบาลรับจำนำไว้ และได้พยายามที่จะวิ่งเต้นนักการเมืองให้กำหนดวิธีการระบายโดยให้ขายในประเทศด้วย ซึ่งก็ต้องจับตาดูว่าการประชุมวันนี้จะมีทางออกในเรื่องนี้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ในการระบายสินค้าเกษตรทั้งมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รัฐบาลยังคงต้องประสบปัญหาการขาดทุนสูง โดยมันสำปะหลังแม้จะยังไม่ขาย รัฐบาลก็ขาดทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ขาดทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท และหากขายก็จะยิ่งขาดทุนไปมากกว่านี้ เพราะแนวโน้มราคาสินค้าทั้ง 2 ชนิด มีแนวโน้มที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น