ASTV ผู้จัดการายวัน – หุ้นไทยดิ่งเหวอีก 15 จุด หลุด 600 จุดแล้ว ต่างชาติ – สถาบันจับมือเทขายสุทธิเฉียด 3.8 พันล้านบาท “ปกรณ์”แนะรายย่อยให้ความสำคัญต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะเศรษฐกิจยังมีความผันผวน ส่วนพ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านที่ผ่านฉลุย จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนได้ในครึ่งปีหลัง ด้าน “ภัทรียา”ชี้หากตลาดยังสดใส ไตรมาส 3 ได้เห็น 12 บจ.น้องใหม่เข้าเทรด ส่วนโบรกฯคาดวันนี้ (17มิ.ย.)ดัชนียังร่วงลงต่อ แนะนำชะลอลงทุน จับตาดูราคาน้ำมัน ตลาดหุ้นต่างประเทศ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(16มิ.ย.) ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 598.41 จุด ลดลง 13.51 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.21% มูลค่าการซื้อขาย 14,105.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (15มิ.ย.) ขณะที่ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญ 600 จุด ไปเรียบร้อยแล้ว
ด้านความเคลื่อนไหวในช่วงบ่าย พบว่า ปิดที่ระดับ 596.54 จุด ลดลง 15.38 จุด หรือ -2.51% มูลค่าการซื้อขาย 25,439.36 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรในสหรัฐฯปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง ทำให้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติน่าจะย้ายออกจากตลาดทุน และถอนการลงทุนออกจากสินค้าโภคภัณฑ์ ไปเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรมากขึ้น
โดย นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิอีก 2,162.83 ล้านนบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิ 1,628.56 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิรวม 3,791.40 ล้านบาท
**ปกรณ์ชี้เงินกู้4แสน.ล.เพิ่มเชื่อมั่น
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ว่า การปรับตัวมักเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง35% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและเลือกลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพราะดัชนียังคงมีความผัวผวนตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนการที่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทนั้น เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการออก พ.ร.ก.ดังกล่าวจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่แพร่ระบาดในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังและป้องกัน เพราะอาจเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าได้
**12บจ.ใหม่จ่อเข้าเทรดไตรมาส3
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวดีขึ้นในขณะนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อเนื่องก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
"หากนับจากช่วงเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นและมีความเพียงพอ ทำให้บริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนได้ราคาหุ้นที่ดี ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเชื่อว่าจะเป็นผลดี แต่ตลาดอาจมีการปรับตัวลงบ้างเป็นไปตามจังหวะ"
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ คาดว่าจะมีหุ้นไอพีโอเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 12 บริษัท โดยทั้งหมดได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดจำนวนทั้งสิ้น 37 บริษัท เป็นไปตามเป้าเดิมที่ได้การปรับลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ 46 บริษัท
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ผู้จัดการ ตลท. ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย ยังต้องติดตามดูภาพรวมของเศรษฐกิจและปัญหาสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ ซึ่งหากสามารถลุล่วงไปได้จะส่งผลดีต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรมีการติดตามข้อมูล รวมถึงภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ขณะที่ ความคืบหน้าสำหรับการซื้อขายรวม 5 ตลาดหุ้นอาเซียน หลังจากได้มีการพูดคุยที่ประเทศสิงคโปร์แล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างเลือกไอที แพลตฟอร์ม ที่ต้องทำงานต่อในเชิงเทคนิค ซึ่งจะเป็นส่วนเชื่อมโยงในการทำการซื้อขาย หากขั้นตอนต่างๆ สามารถดำเนินแล้วเสร็จคาดว่า จะสามารถเปิดการซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 3 ปี 2553
สำหรับกรณีบมจ.ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม หรือ TIES ที่มีข่าวว่ามีพันธมิตรสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้น ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีปัญหา เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการขอขึ้นเครื่องหมาย SP ด้วยตัวเองทัน แต่ทั้งนี้จะต้องมีการตรวจสอบคำชี้แจงที่บริษัทฯ ส่งเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนด้านกรณีการตรวจสอบบมจ. แอปโซลูท อิมแพคหรือ AIM จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปดูข้อมูลที่เกิดขึ้น โดยผู้ที่ดูแลในเรื่องดังกล่าวคือ นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานกำกับตลาด
**โบรกฯแนะชะลอลงทุน
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ (16มิ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วงลงกว่า 15 จุด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศอันเป็นผลมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลง ไปประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลล์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาผู้แทนราษฏร์มีมติอนุมัติ พ.ร.ก.เงินกู้จำนวน 4 แสนล้านบาท ของรัฐบาล แต่เรื่องดังกล่าวก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ได้มีการคาดการณ์ว่าจะออกมาในลักษณะนี้ก่อนแล้ว
สำหรับบรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (17มิ.ย.) คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวผันผวน แต่นักลงทุนควรรอดูผลการประชุมของคณะรัฐมนตรีในประเด็นพระราชบัญญัติเงินกู้ ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนหากดัชนีรีบาวน์เมื่อใดให้รีบทยอยขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยให้กรอบแนวรับที่ 593 จุด และแนวต้านที่ 606 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซิมิโก้ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวในแดนลบตลอดวัน ตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เช่น ราคาน้ำโลกที่ลดลง สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ.ร.ก.เงินกู้ของรัฐบาลจะผ่านการอนุมัติจากสภาฯ แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้มีแรงกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเชื่อว่าดัชนียังปรับลดลงอีก โดยสิ่งที่ต้องจับตาคงเป็นความเคลื่อนไหวดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย และราคาน้ำโลก เพราะฉะนั้นช่วงนี้หากไม่จำเป็นควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งมองแนวรับอยู่ที่ 580 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 610-612 จุด”
ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(16มิ.ย.) ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 598.41 จุด ลดลง 13.51 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -2.21% มูลค่าการซื้อขาย 14,105.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (15มิ.ย.) ขณะที่ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญ 600 จุด ไปเรียบร้อยแล้ว
ด้านความเคลื่อนไหวในช่วงบ่าย พบว่า ปิดที่ระดับ 596.54 จุด ลดลง 15.38 จุด หรือ -2.51% มูลค่าการซื้อขาย 25,439.36 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรในสหรัฐฯปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง ทำให้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติน่าจะย้ายออกจากตลาดทุน และถอนการลงทุนออกจากสินค้าโภคภัณฑ์ ไปเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรมากขึ้น
โดย นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิอีก 2,162.83 ล้านนบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิ 1,628.56 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิรวม 3,791.40 ล้านบาท
**ปกรณ์ชี้เงินกู้4แสน.ล.เพิ่มเชื่อมั่น
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ว่า การปรับตัวมักเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง35% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและเลือกลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพราะดัชนียังคงมีความผัวผวนตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนการที่สภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทนั้น เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น และเป็นผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการออก พ.ร.ก.ดังกล่าวจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่แพร่ระบาดในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังและป้องกัน เพราะอาจเป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าได้
**12บจ.ใหม่จ่อเข้าเทรดไตรมาส3
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวดีขึ้นในขณะนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อเนื่องก็จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
"หากนับจากช่วงเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นและมีความเพียงพอ ทำให้บริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนได้ราคาหุ้นที่ดี ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเชื่อว่าจะเป็นผลดี แต่ตลาดอาจมีการปรับตัวลงบ้างเป็นไปตามจังหวะ"
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ คาดว่าจะมีหุ้นไอพีโอเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีก 12 บริษัท โดยทั้งหมดได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้ในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดจำนวนทั้งสิ้น 37 บริษัท เป็นไปตามเป้าเดิมที่ได้การปรับลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ 46 บริษัท
สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ผู้จัดการ ตลท. ประเมินว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทย ยังต้องติดตามดูภาพรวมของเศรษฐกิจและปัญหาสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ ซึ่งหากสามารถลุล่วงไปได้จะส่งผลดีต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยให้ดีขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรมีการติดตามข้อมูล รวมถึงภาวะตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ขณะที่ ความคืบหน้าสำหรับการซื้อขายรวม 5 ตลาดหุ้นอาเซียน หลังจากได้มีการพูดคุยที่ประเทศสิงคโปร์แล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างเลือกไอที แพลตฟอร์ม ที่ต้องทำงานต่อในเชิงเทคนิค ซึ่งจะเป็นส่วนเชื่อมโยงในการทำการซื้อขาย หากขั้นตอนต่างๆ สามารถดำเนินแล้วเสร็จคาดว่า จะสามารถเปิดการซื้อขายได้ประมาณไตรมาส 3 ปี 2553
สำหรับกรณีบมจ.ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม หรือ TIES ที่มีข่าวว่ามีพันธมิตรสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้น ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีปัญหา เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการขอขึ้นเครื่องหมาย SP ด้วยตัวเองทัน แต่ทั้งนี้จะต้องมีการตรวจสอบคำชี้แจงที่บริษัทฯ ส่งเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนด้านกรณีการตรวจสอบบมจ. แอปโซลูท อิมแพคหรือ AIM จะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปดูข้อมูลที่เกิดขึ้น โดยผู้ที่ดูแลในเรื่องดังกล่าวคือ นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานกำกับตลาด
**โบรกฯแนะชะลอลงทุน
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วานนี้ (16มิ.ย.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วงลงกว่า 15 จุด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศอันเป็นผลมาจากสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลง ไปประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลล์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาผู้แทนราษฏร์มีมติอนุมัติ พ.ร.ก.เงินกู้จำนวน 4 แสนล้านบาท ของรัฐบาล แต่เรื่องดังกล่าวก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ได้มีการคาดการณ์ว่าจะออกมาในลักษณะนี้ก่อนแล้ว
สำหรับบรรยากาศซื้อขายหุ้นไทยวันนี้ (17มิ.ย.) คาดว่าดัชนีเคลื่อนไหวผันผวน แต่นักลงทุนควรรอดูผลการประชุมของคณะรัฐมนตรีในประเด็นพระราชบัญญัติเงินกู้ ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนหากดัชนีรีบาวน์เมื่อใดให้รีบทยอยขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยให้กรอบแนวรับที่ 593 จุด และแนวต้านที่ 606 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซิมิโก้ จำกัด กล่าวว่า ทิศทางหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวในแดนลบตลอดวัน ตามปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เช่น ราคาน้ำโลกที่ลดลง สภาพเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพ.ร.ก.เงินกู้ของรัฐบาลจะผ่านการอนุมัติจากสภาฯ แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้มีแรงกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเชื่อว่าดัชนียังปรับลดลงอีก โดยสิ่งที่ต้องจับตาคงเป็นความเคลื่อนไหวดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย และราคาน้ำโลก เพราะฉะนั้นช่วงนี้หากไม่จำเป็นควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งมองแนวรับอยู่ที่ 580 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 610-612 จุด”