ASTV ผู้จัดการรายวัน- ตลาดหุ้นไทยคึกคัก รับตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีกว่าคาดการณ์ ดัชนีตลาดหุ้นพุ่งเหนือแนวต้านสำคัญที่ 500 จุด ก่อนจะปิดที่ 506.26 จุด เพิ่มขึ้นเกือบ 15 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 2 หมื่นล้านบาท ระบุดัชนีตลาดหุ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 เดือน ด้านนักวิเคราะห์ แนะชะลอลงทุนรอดูทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก-ราคาน้ำมัน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภาคเช้า ตามตลาดหุ้นภูมิภาค และเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและหนาแน่น โดยมีจุดต่ำสุดที่ 497.81 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุด 506.26 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 14.57 จุด หรือ 2.96% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 20,262.05 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 5,76.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,448.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,027.84 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนเหนือระดับ 500 จุด และเป็นการทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 528.71 จุด
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิด 199.50 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10 บาท หรือ 5.28% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,091.73 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 109 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 5.31% มูลค่าการซื้อขาย 1,703.65 ล้านบาท และบมจ. ไทย ปิดที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.70 บาท หรือ 10.37% มูลค่าการซื้อขาย 1,266.53 ล้านบาท
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (4 พ.ค.) ค่อนข้างสดใส สอดคล้องกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียที่ปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดวันจนดัชนีสามารถทะลุ 500 จุดได้ โดยมีปัจจัยในประเทศเป็นแรงหนุน ได้แก่ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยประจำเดือนมีนาคม 2552 ที่ติดลบน้อยกว่าเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องในหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 พ.ค.นี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาการผลการทดสอบความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินของสถาบันการเงิน (แบงก์) ประมาณ 17 แห่ง ในประเทศสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และตลาดหุ้นเอเชีย ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 500 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 515 จุด
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวในแดนบวกตลอดวัน ท่ามกลางความมั่นใจของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น หลังสัญญาณการติดลบของเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมเริ่มลดลง ตลอดจนได้รับอานิสงส์จากการที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะยังคงซบเซา นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน ในสหรัฐฯ และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 460 จุด โดยให้กรอบแนวรับที่ 460-480 จุด และที่แนวต้านที่ 515-520 จุด”
ด้านนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 14 จุด หลังได้แรงหนุนจากตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินความคาดหมายนักลงทุน ส่งผลให้มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างหนาแน่นในหลักทรัพย์หมวดพลังงานและธนาคารพาณิชย์
“ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับลดลง จากแรงเทขายของนักลงทุน หลังดัชนีเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน อีกทั้งคงต้องรอดูผลการทดสอบฯ สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเอเชีย และความเคลื่อนไหวการเมืองไทย อย่างไรก็ดีแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 490 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 508-510 จุด” นายวีระชัยกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามกระแสการขึ้นของทั่วโลก จากมุมมองที่ดีขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก โดยตลาดหุ้นมีหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมานำตลาด สำหรับปัจจัยในประเทศ ในเรื่องของการเมืองขณะนี้ยังไม่มีอะไร ส่วนการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯก็คิดว่าน่าจะเริ่มทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์หน้ามากขึ้น
“ปัจจัยที่จะเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยคือ ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ที่นักลงทุนไทยจะต้องติดตามว่าจะมีแรงเทขายออกมาในระยะสั้นหรือไม่ โดยให้แนวรับไว้ที่ 498-500 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 509, 517 จุด”
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภาคเช้า ตามตลาดหุ้นภูมิภาค และเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและหนาแน่น โดยมีจุดต่ำสุดที่ 497.81 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุด 506.26 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 14.57 จุด หรือ 2.96% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 20,262.05 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 5,76.37 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,448.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 2,027.84 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นสามารถยืนเหนือระดับ 500 จุด และเป็นการทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน นับจากวันที่ 7 ต.ค. 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 528.71 จุด
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิด 199.50 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10 บาท หรือ 5.28% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,091.73 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 109 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 5.31% มูลค่าการซื้อขาย 1,703.65 ล้านบาท และบมจ. ไทย ปิดที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.70 บาท หรือ 10.37% มูลค่าการซื้อขาย 1,266.53 ล้านบาท
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (4 พ.ค.) ค่อนข้างสดใส สอดคล้องกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียที่ปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดวันจนดัชนีสามารถทะลุ 500 จุดได้ โดยมีปัจจัยในประเทศเป็นแรงหนุน ได้แก่ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยประจำเดือนมีนาคม 2552 ที่ติดลบน้อยกว่าเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องในหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 พ.ค.นี้ น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาการผลการทดสอบความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินของสถาบันการเงิน (แบงก์) ประมาณ 17 แห่ง ในประเทศสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และตลาดหุ้นเอเชีย ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 500 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 515 จุด
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวในแดนบวกตลอดวัน ท่ามกลางความมั่นใจของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น หลังสัญญาณการติดลบของเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมเริ่มลดลง ตลอดจนได้รับอานิสงส์จากการที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะยังคงซบเซา นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน ในสหรัฐฯ และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรทยอยเก็บหุ้นเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 460 จุด โดยให้กรอบแนวรับที่ 460-480 จุด และที่แนวต้านที่ 515-520 จุด”
ด้านนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 14 จุด หลังได้แรงหนุนจากตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีเกินความคาดหมายนักลงทุน ส่งผลให้มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอย่างหนาแน่นในหลักทรัพย์หมวดพลังงานและธนาคารพาณิชย์
“ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับลดลง จากแรงเทขายของนักลงทุน หลังดัชนีเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายวัน อีกทั้งคงต้องรอดูผลการทดสอบฯ สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเอเชีย และความเคลื่อนไหวการเมืองไทย อย่างไรก็ดีแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 490 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 508-510 จุด” นายวีระชัยกล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามกระแสการขึ้นของทั่วโลก จากมุมมองที่ดีขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก โดยตลาดหุ้นมีหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมานำตลาด สำหรับปัจจัยในประเทศ ในเรื่องของการเมืองขณะนี้ยังไม่มีอะไร ส่วนการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯก็คิดว่าน่าจะเริ่มทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์หน้ามากขึ้น
“ปัจจัยที่จะเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยคือ ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ที่นักลงทุนไทยจะต้องติดตามว่าจะมีแรงเทขายออกมาในระยะสั้นหรือไม่ โดยให้แนวรับไว้ที่ 498-500 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 509, 517 จุด”