ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทย รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันโลกที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนโยกพอร์ตซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์บางส่วน ปิดตลาดที่ 694.14 จุด เพิ่มขึ้น 11.99 จุด โบรกเกอร์ ลุ้นตัวโกร่งจะผ่านแนวต้านสำคัญที่ 700 จุดหรือไม่ เหตุปัจจัยลบยังมีอยู่อีกเพียบทั้งทิศทางราคาน้ำมัน-อัตราดอกเบี้ย-สัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก โดยได้รับปัจจัยบวกจากกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงปัญหาเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 696.77 จุด และต่ำสุดที่ 689.60 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 694.14 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.99 จุด หรือคิดเป็น 1.76% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,303.21 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง คือ มียอดขายสุทธิ 770.40 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 748.53 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 21.87 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 51 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิไปแล้วกว่า 32,562.05 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 146 บาท ลดลงจากวันก่อน 1 บาท หรือ 0.68% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,927.32 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 264 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,453.28 ล้านบาท และบมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ราคาปิด 114 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 6.54% มูลค่าการซื้อขาย 1,280.24 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับนักลงทุนได้คลายความกังวลปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ จึงได้เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเอง ยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังจะประกาศออกมาผลงานประจำงวดไตรมาส 2/51 หลังจากที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้มีการประกาศไปเรียบร้อยแล้ว
"นักลงทุนให้ความสนใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึง 200 จุด บวกกับนักลงทุนต่างประเทศที่เคยทิ้งหุ้นไทยออกมาเริ่มชะลอการขายหุ้นออกมาแล้ว คือเหลือเฉลี่ยวันละ 400-500 ล้านบาท จากก่อนหน้าหนี้เฉลี่ยสูงถึงวันละกว่า 2,000 ล้านบาท"
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (24 ก.ค.) ตลาดหุ้นยังคงผันผวนจากแรงขายทำกำไร รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมันที่จะเป็นแรงกดดันทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงนักลงทุนจะมีการเก็งกำไรคณะรัฐมนตรี (ครม.)โฉมใหม่ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 680 จุด แนวต้านที่ระดับ 700 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ ได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนมีการโยกเงินลงทุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานเข้ามาลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงติดต่อกันหลายวัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่ยังมั่นใจว่าราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง จึงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นพลังงานบางตัว ทำให้ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี และจากปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวในแดนบวก
"ขณะนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เริ่มมีสัญญาณเชิงลบออกมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จะฉุดผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง และปัจจัยสำคัญที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมองตลาดทุนไทยในเชิงลบอยู่"
สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ เรื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด รวมถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะในต้นเดือนหน้า (5 ส.ค.) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาทิศทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งประเด็นต่างๆ จะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ และตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด โดยถือเงินสดไว้ไม่ต่ำกว่า 50% ของพอร์ตทั้งหมด ขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ที่ 680-690 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 700 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก โดยได้รับปัจจัยบวกจากกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงปัญหาเรื่องสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 696.77 จุด และต่ำสุดที่ 689.60 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 694.14 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.99 จุด หรือคิดเป็น 1.76% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,303.21 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง คือ มียอดขายสุทธิ 770.40 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 748.53 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 21.87 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 51 ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิไปแล้วกว่า 32,562.05 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 146 บาท ลดลงจากวันก่อน 1 บาท หรือ 0.68% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,927.32 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 264 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,453.28 ล้านบาท และบมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ราคาปิด 114 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือ 6.54% มูลค่าการซื้อขาย 1,280.24 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับนักลงทุนได้คลายความกังวลปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ จึงได้เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเอง ยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังจะประกาศออกมาผลงานประจำงวดไตรมาส 2/51 หลังจากที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้มีการประกาศไปเรียบร้อยแล้ว
"นักลงทุนให้ความสนใจกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึง 200 จุด บวกกับนักลงทุนต่างประเทศที่เคยทิ้งหุ้นไทยออกมาเริ่มชะลอการขายหุ้นออกมาแล้ว คือเหลือเฉลี่ยวันละ 400-500 ล้านบาท จากก่อนหน้าหนี้เฉลี่ยสูงถึงวันละกว่า 2,000 ล้านบาท"
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (24 ก.ค.) ตลาดหุ้นยังคงผันผวนจากแรงขายทำกำไร รวมถึงปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ ทั้งเรื่องของราคาน้ำมันที่จะเป็นแรงกดดันทิศทางอัตราเงินเฟ้อ และสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงนักลงทุนจะมีการเก็งกำไรคณะรัฐมนตรี (ครม.)โฉมใหม่ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 680 จุด แนวต้านที่ระดับ 700 จุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ ได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนมีการโยกเงินลงทุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานเข้ามาลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงติดต่อกันหลายวัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่ยังมั่นใจว่าราคาน้ำมันจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง จึงเข้ามาเก็งกำไรหุ้นพลังงานบางตัว ทำให้ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี และจากปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวในแดนบวก
"ขณะนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทย เริ่มมีสัญญาณเชิงลบออกมาจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จะฉุดผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง และปัจจัยสำคัญที่สะท้อนออกมาได้ชัดเจนแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง แสดงว่านักลงทุนต่างชาติยังคงมองตลาดทุนไทยในเชิงลบอยู่"
สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ เรื่องของราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด รวมถึงทิศทางของอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะในต้นเดือนหน้า (5 ส.ค.) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาทิศทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งประเด็นต่างๆ จะส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ และตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด โดยถือเงินสดไว้ไม่ต่ำกว่า 50% ของพอร์ตทั้งหมด ขณะที่แนวรับสำคัญอยู่ที่ 680-690 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 700 จุด