xs
xsm
sm
md
lg

คลอด"ออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง"ประเดิม3หมื่นล้านขายก.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บิ๊ก สบน.เผยพร้อมคลอด "พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง" ขายในเดือน ก.ค.นี้ ประเดิม3หมื่นล้าน ดอกเบี้ยพิเศษ อ้างเป็นแผนหลังแผนกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ผ่านสภา ชี้ทางรอดเศราฐกิจไทยรัฐบาลต้องอัดฉีดเงิน ขอออกจากวินัยการคลัง 3 ปีหวังฟื้นเศรษฐกิจ

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีแผนจะออกพันธบัตรวงเงิน 30,000 ล้านบาท ภายใต้ชื่อ "พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง" อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยจะอ้างอิงตลาดบวกดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อจูงใจนักลงทุน และเป็นการกำหนดดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ซึ่งหลังจาก 3 ปีแรกไปแล้ว จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก คาดว่าจะนำออกมาเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ กำหนดวงเงินซื้อขั้นต่ำคนละ 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท
"เชื่อว่าการออกพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้จะดึงดูดนักลงทุน เพราะมีผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด" นายพงศ์ภาณุกล่าวและว่า การเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดจำหน่าย โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์ 3-4 ราย เข้ามาร่วมจัดจำหน่าย จากเดิมที่จะเลือกธนาคารพาณิชย์เพียงรายเดียว เพื่อให้มีสาขาจุดให้บริการจำนวนมาก ประชาชนลูกค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงได้จำนวนมาก
นายพงศ์ภาณุกล่าวว่า เป็นไปตามแผนการกู้เงินภาครัฐในปีงบประมาณ 2552 รองรับพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 400,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร
"ถ้าแผนการกู้เงินไม่ผ่านสภา เศรษฐกิจไทยคงไปรอดยาก หากผ่านสภาเราก็จะกู้ทันที การกู้เงินเราก็มีการคุยร่วมกับรัฐบาล ก็คงต้องยอมออกจากวินัยการคลังประมาณ 3 ปีแล้วค่อยกลับเข้ามาใหม่" ผอ.สบน.กล่าวในงานเสวนาในหัวข้อ " ทางรอดเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางไฟวิกฤตโลก" จัดโดยธนาคารทหารไทย
เขาชี้แจงอีกว่า ตอนนี้มาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเหลือเฉพาะในส่วนของนโยบายการคลังเพียงตัวเดียว เนื่องจากที่ผ่านมานโยบายด้านการเงินใช้ไม่ได้ผลมากนัก ดังนั้นซึ่งการที่ พ.ร.ก.การกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ผ่านการตีความจากศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ดี ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลนั้น จำนวน 2 แสนล้านบาทแรก จะใช้สำหรับการนำมาสมทบเงินคงคลังที่รายได้ขาดหายไป 2.8 แสนล้านบาท
ส่วนอีก 2 แสนล้านบาทที่เหลือ จะใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะที่ 2 โดยการกู้เงิน 2 แสนล้านบาท เพื่อสมทบเงินคงคลังที่ขาดไปนั้น จะมีการกู้ใน 3 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2552 รวม 1.2 แสนล้านบาท และอีก 8 หมื่นล้านบาทที่เหลือจะเป็นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 53 (ต.ค.-ธ.ค.52) เพื่อให้รัฐบาลสามารถมีเงินสำหรับดำเนินโครงการต่างๆ ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น