ASTVผู้จัดการรายวัน – บาฟส์ปรับลดเป้าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานลงอีกเป็นติดลบทั้งปี 6% จากปัญหาการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเม.ย.และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ฉุดนักท่องเที่ยวหดทำให้ยอดการเติมน้ำมันพ.ค.หดกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก คาดทั้งปีนี้รายได้ลดลง 5% ขณะที่กำไรสุทธิหดลงมากกว่า ยันบริษัทยังจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้แน่
ม.ร.ว.ศุภดิศ ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS : บาฟส์) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานปีนี้โตลดลงจากเดิมที่เคยตั้งไว้ติดลบ 2% เป็นติดลบ 6% จากปีก่อนที่มีการเติมน้ำมันอากาศยาน 4,312 ล้านลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้รายได้ของบริษัทปีนี้ลดลงจากปีก่อน 5% เนื่องจากผลกระทบจากการชุมชุมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงเม.ย.ที่ผ่านมา และปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในช่วงพ.ค.อยู่ที่ 330 ล้านลิตร ปรับตัวลดลง 10% ต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ลดลงจากปีก่อนแค่ 7%
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานน่าจะดีขึ้น เนื่องจากเริ่มการบินไทยรับมอบเครื่องบินแอร์บัสA 330และA380 เข้ามาตั้งแต่มิ.ย.นี้ และยังมีเครื่องบินA340-500 และA300-600 อีก 6 ลำที่ของการบินไทยที่ขายไม่ได้จำนวน 6 ลำก็ต้องนำกลับมาบินใหม่ ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น อีกทั้งการเติมน้ำมันอากาศยานเดือนพ.ย. และธ.ค.เชื่อว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน+24% และ +28%ตามลำดับ จากปี2551 มีปัญหาการปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิทำให้การเติมน้ำมันอากาศยานพ.ย.-24% และธ.ค.-28%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิมจนฉุดรายได้ทั้งปีลดลง 5%จากปีที่แล้วมีรายได้เฉพาะบริษัทรวม 1,436 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิจะปรับลดลงในสัดส่วนที่สูงกว่า ซึ่งบริษัทฯยังมั่นใจที่จะจ่ายเงินปันระหว่างกาลและเงินปันผลประจำปี 2552 ได้ เนื่องจากรัฐบาลได้ชะลอการลงทุนโครงการขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ออกไปทำให้บริษัทลูกไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน ดังนั้น บาฟส์จึงมีนโยบายให้บริษัทลูกทั้งบริษัทไทยเชื้อเพลิงการบิน(TARCO) และจีพี-วันจ่ายเงินปันผลคืนบริษัทแม่มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดในการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นบาฟส์ต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับลดค่าใช้จ่ายลงทั้งในรูปเงินเดือนของฝ่ายบริหาร การรักษาสภาพคล่อง รวมทั้งลดการลงทุนในปีนี้จากเดิม 60 ล้านบาทเหลือเพียง 15 ล้านบาท รวมทั้งปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันในคลังดอนเมืองให้เหมาะสมกับปริมาณการเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมืองภายหลังจากการบินไทยย้ายเที่ยวบินในประเทศไปยังสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับการท่าอากาศยานเพื่อของดจ่ายค่าเช่าส่งน้ำมันผ่านท่อระบบHydrant เนื่องจากปริมาณการเติมน้ำมันผ่านท่อระบบHydrant ไม่คุ้มกับปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่ดอนเมือง
“ อัตราการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานปีนี้ -6% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวติดลบเท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งเดิมบริษัทเคยมองว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว แต่เมื่อมีปัจจัยการเมืองจากการชุนนุมในช่วงเม.ย.และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนและญี่ปุ่นลดลงไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในช่วงพ.ค.ติดลบมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้เดิม ”
ม.ร.ว.ศุภดิศ กล่าวต่อไปว่า บาฟส์มีศักยภาพที่จะให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานได้ถึง 15 ล้านลิตร/วัน จากปัจจุบันที่มีการให้บริการเพียง 9-10 ล้านลิตร/วัน ซึ่งก่อนวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทฯเคยให้บริการเติมน้ำมันสูงถึง 12 ล้านลิตร/วัน ทำให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็มีถังเก็บน้ำมันสำรองไว้ถึง 90 ล้านลิตร
ม.ร.ว.ศุภดิศ ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS : บาฟส์) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานปีนี้โตลดลงจากเดิมที่เคยตั้งไว้ติดลบ 2% เป็นติดลบ 6% จากปีก่อนที่มีการเติมน้ำมันอากาศยาน 4,312 ล้านลิตร ซึ่งจะมีผลทำให้รายได้ของบริษัทปีนี้ลดลงจากปีก่อน 5% เนื่องจากผลกระทบจากการชุมชุมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงเม.ย.ที่ผ่านมา และปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทำให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในช่วงพ.ค.อยู่ที่ 330 ล้านลิตร ปรับตัวลดลง 10% ต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ลดลงจากปีก่อนแค่ 7%
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานน่าจะดีขึ้น เนื่องจากเริ่มการบินไทยรับมอบเครื่องบินแอร์บัสA 330และA380 เข้ามาตั้งแต่มิ.ย.นี้ และยังมีเครื่องบินA340-500 และA300-600 อีก 6 ลำที่ของการบินไทยที่ขายไม่ได้จำนวน 6 ลำก็ต้องนำกลับมาบินใหม่ ทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น อีกทั้งการเติมน้ำมันอากาศยานเดือนพ.ย. และธ.ค.เชื่อว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน+24% และ +28%ตามลำดับ จากปี2551 มีปัญหาการปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิทำให้การเติมน้ำมันอากาศยานพ.ย.-24% และธ.ค.-28%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานจะปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิมจนฉุดรายได้ทั้งปีลดลง 5%จากปีที่แล้วมีรายได้เฉพาะบริษัทรวม 1,436 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิจะปรับลดลงในสัดส่วนที่สูงกว่า ซึ่งบริษัทฯยังมั่นใจที่จะจ่ายเงินปันระหว่างกาลและเงินปันผลประจำปี 2552 ได้ เนื่องจากรัฐบาลได้ชะลอการลงทุนโครงการขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ออกไปทำให้บริษัทลูกไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน ดังนั้น บาฟส์จึงมีนโยบายให้บริษัทลูกทั้งบริษัทไทยเชื้อเพลิงการบิน(TARCO) และจีพี-วันจ่ายเงินปันผลคืนบริษัทแม่มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดในการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นบาฟส์ต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับลดค่าใช้จ่ายลงทั้งในรูปเงินเดือนของฝ่ายบริหาร การรักษาสภาพคล่อง รวมทั้งลดการลงทุนในปีนี้จากเดิม 60 ล้านบาทเหลือเพียง 15 ล้านบาท รวมทั้งปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันในคลังดอนเมืองให้เหมาะสมกับปริมาณการเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมืองภายหลังจากการบินไทยย้ายเที่ยวบินในประเทศไปยังสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับการท่าอากาศยานเพื่อของดจ่ายค่าเช่าส่งน้ำมันผ่านท่อระบบHydrant เนื่องจากปริมาณการเติมน้ำมันผ่านท่อระบบHydrant ไม่คุ้มกับปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่ดอนเมือง
“ อัตราการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานปีนี้ -6% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวติดลบเท่ากับปีที่แล้ว ซึ่งเดิมบริษัทเคยมองว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว แต่เมื่อมีปัจจัยการเมืองจากการชุนนุมในช่วงเม.ย.และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนและญี่ปุ่นลดลงไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในช่วงพ.ค.ติดลบมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้เดิม ”
ม.ร.ว.ศุภดิศ กล่าวต่อไปว่า บาฟส์มีศักยภาพที่จะให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานได้ถึง 15 ล้านลิตร/วัน จากปัจจุบันที่มีการให้บริการเพียง 9-10 ล้านลิตร/วัน ซึ่งก่อนวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทฯเคยให้บริการเติมน้ำมันสูงถึง 12 ล้านลิตร/วัน ทำให้ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็มีถังเก็บน้ำมันสำรองไว้ถึง 90 ล้านลิตร