ASTVผู้จัดการรายวัน - "มาร์ค"วอนทุกฝ่ายช่วยกันดูแลบ้านเมือง เผยเดือนหน้าการเมืองระอุ แก๊งป่วนเตรียมออกโรง หวังเผาบ้านเผาเมืองอีกรอบ ขู่ฟันนักธุรกิจหนุนม็อบป่วนเมือง หากพบหลักฐานเล่นงานทางกฎหมายแน่ อ้อนศาลรัฐธรรมนูญผ่าน พ.ร.ก.กู้เงิน วางปฏิทินกู้เงินได้เดือนสิงหาฯ
วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นักธุรกิจจะช่วยได้อะไร" เนื่องในโอกาสประชุมใหญ่สามัญของสมาคมส่งเสริมสถาบันบริษัทเอกชนไทย ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สมาคมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศ ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาสู่ความยั่งยืนในการพัฒนา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปกติตนไปงานสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ หัวข้อมักจะเป็นว่า รัฐบาลจะช่วยธุรกิจได้อย่างไร แต่วันนี้กลับกัน ให้ตนมาพูดว่าท่านทั้งหลายในฐานะนักธุรกิจจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ซึ่งยอมรับว่ายากมากหัวข้อนี้ เพราะจริงๆแล้ว คำแนะนำที่ตนจะมีให้กับภาคธุรกิจ คงไม่ค่อยเหมาะสม เพราะตนเชื่อว่า บทบาทภาครัฐ กับภาคเอกชน แม้ว่าจะต้องเสริม ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ถ้าคิดแทนกันเมื่อไร ก็จะยุ่ง พาเศรษฐกิจไปไม่รอด และต้องยอมรับว่าปัญหาหลายปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทั้งในประเทศและหลายๆ ประเทศทั่วโลก มักจะเกิดจากวันที่รัฐบาลคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่านักธุรกิจในเรื่องการประกอบธุรกิจ และถ้าจะให้ภาคเอกชนคิดแทนภาครัฐ มุมมองต่อการแก้ปัญหาต่างๆ อาจจะไม่สมบูรณ์ เพราะบทบาทหน้าที่แตกต่างกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้เริ่มต้นปัญหามาจากเรา ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงไม่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงเหมือนปี 2540 แต่ผลกระทบก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้ปี 40 ในแง่การเติบโตหรือการหดตัวของเศรษฐกิจ ปีนี้เริ่มต้นมา 3 เดือนแรก ติดลบไป 7.1 รัฐบาลตระหนักดีถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้น จากตัวเลขที่รุนแรงเช่นนี้ ทั้งนี้ด้วยความที่เศรษฐกิจเราเป็นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปิดเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก การจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนปฏิเสธไม่ได้ต้องผูกกับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของเรา
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งสร้างหลักประกันสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโดยในระยะเร่งด่วนที่สุด เราจะต้องหาทางกระตุ้นรายได้ หรือกระตุ้นการใช้จ่ายต่างประเทศให้มาชดเชยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยว รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกโดยผ่านงบประมาณกลางปีกว่าแสนล้านบาท รวมถึงการใช้เงินนอกงบประมาณโดยเฉพาะในส่วนที่ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรกว่าแสนล้าน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้สถานการณ์เฉพาะหน้าอาจจะยังดูหนัก โดยเฉพาะตัวเลขไตรมาสแรกเพิ่งปรากฏเป็นทางการ ขณะเดียวกันมีสัญญาณบางตัวที่ไปในทางที่ดี โดยเฉพาะถ้าเทียบตัวเลขเดือนก.พ.–เม.ย. จำนวนคนที่ออกจากงานลดลงเรื่อยๆ แต่รัฐบาลก็ไม่ประมาทหรือชะล่าใจ คาดว่าต้องดูอีกระยะหนึ่งให้มั่นใจว่า มันเป็นแนวโน้มจริงๆ และแม้ว่าจะมีความวุ่นวายในทางการเมืองช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร เราก็ไม่เคยเสียสมาธิที่จะดำเนินงานตามนโยบาย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วง 5-6ปีก่อนหน้านี้ ที่พูดกันว่าเศรษฐกิจดี รัฐบาลแทบไม่ได้ใช้เงินลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสักเท่าไร นอกจากสนามบินที่เหลือแม้แต่ถนนหนทางอย่าว่าแต่สร้างใหม่ งบประมาณในการซ่อมแซมก็ถูกปรับลดไปเยอะ ฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะเอื้ออำนวยให้เราสามารถลดต้นทุนทางด้านระบบการขนส่งโลจิสติก ทำให้ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ การท่องเที่ยวได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐชัดเจนมากยิ่งขึ้น และหวังว่าสัปดาห์หน้าศาลรัฐธรรมนูญ จะกรุณาวินิจฉัยเรื่อง พ.ร.ก.การกู้เงินเรียบร้อยสัปดาห์ถัดไป รัฐสภาจะกรุณาผ่าน พ.ร.ก.และพ.ร.บ.กู้เงินให้รัฐบาล หลังจากนั้นยืนยันว่า เตรียมการที่จะให้การกู้เงินเข้าสู่ระบบการลงทุนเริ่มต้นได้ตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นไป โครงการทุกโครงการเราจะทำเว็บไซต์ขึ้นมาเฉพาะ ให้คนติดตามความคืบหน้า และมีความโปร่งใส เพราะเรารู้ว่า นี่คือเงินกู้ และหลายคนทราบดีว่าเป็นภาระในอนาคตที่จะต้องชำระหนี้ คาดหวังว่าในเชิงการกระตุ้นเศรษฐกิจมาตรการรอบนี้จะสร้างงานได้ถึง 1.5 ถึง 2 ล้านคนใน 3 ปีข้างหน้า ผลสุดท้ายจริงๆ ที่เราต้องการคือ ความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจ การศึกษาสุขภาพ และอื่นๆในประเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กลางเดือนหน้า ที่จะเริ่มต้นกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ จะกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทยด้วยในทางเศรษฐกิจ จุดเน้นสำคัญของเราคือ เศรษฐกิจภาคการเกษตร จะต้องเติบโตอีกมากเพราะยืนยันเป้าหมายการเป็นผู้ผลิต และผู้ส่งออกอาหารชั้นนำของโลก พร้อมกับการเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนจากภาคการเกษตรที่สำคัญในภูมิภาคด้วย ดังนั้นต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเพราะวันนี้เรายังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนภาคอุตสาหกรรม จะเน้นเพิ่มมูลค่าและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ส่วนภาคบริการและการท่องเที่ยวจะมีการแข่งขันมากขึ้น โดยจะทบทวนดูจุดแข็ง จุดอ่อนต่างๆ มีแผนงานเชิงยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้นและผู้ที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงคือภาคธุรกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม ตนจะยึดหลักการทำงานคือจะมีการปรึกษาหารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องภาคธุรกิจเอกชนและประชาชนผู้เกี่ยวข้อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนกำลังไล่คลี่คลายปัญหาเรื่องการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน เป็นปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากภาครัฐเมื่อตนเข้ามา นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร้องเรียนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานของหน่วยงานภาครัฐบางเรื่องหลายปีแล้ว แต่ละกระทรวงมีความเห็นแตกต่าง เอกชนปฏิบัติไม่ถูก โครงการก็เดินต่อไม่ได้ ระยะหลังกฎระเบียบต่างๆ ก็มากมาย และมีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ตั้งแต่ ศาลปกครอง จนถึงดีเอสไอ ตรงนี้กำลังหาแนวทางคลี่คลาย ต่อไปนี้วิธีการทำงานของหน่วยงานราชการต้องประสานงาน และคำนึงถึงหน่วยงานภาพรวมมากขึ้น ถ้ายังใช้แนวคิดว่าเป็นคนถือกฎหมายฉบับนี้ ดูแลเพียงเท่านี้ การประกอบการ และการทำงานของภาคธุรกิจเอกชนจะยากลำบากมาก ทั้งนี้จะปรับปรุงอำนวยความสะดวกการติดต่อระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยจะมีหน่วยงานบริการกลางเข้ามาอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนในการติดต่อประสานงานกับภาครัฐ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะพยายามสื่อสารให้ชัดเจนในเรื่องนโยบายและมาตรการโดยภาคเอกชนจะต้องแสวงโอกาสตื่นตัวในเรื่องการแข่งขัน ทั้งของประเทศไทย อาเซียน และประเทศอื่นๆ ในโลกและการทำงานทั้งหมดนี้จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าเราสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศของเราได้ ตนจะตั้งใจทำตรงนี้ให้ดีที่สุด 5เดือนที่ผ่านมา ที่เสียใจที่สุดคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา ในเรื่องของการประชุมอาเซียนซึ่งตนทราบดีว่า กระทบต่อภาพลักษณ์ กระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมาก และตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.เป็นต้นมา ตนพยายามทำทุกวิถีทางที่จะคืนสภาพความปกติให้บ้านเมือง และเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นต่อไป ตรงนี้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ความเชื่อมั่นในแง่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งคำถามแต่ความเชื่อมั่น ที่มีต่อเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องที่ยังเป็นปัญหา ซึ่งต้องช่วยกันแก้ ตนไม่ได้บอกว่าเสถียรภาพทางการเมือง หมายถึงเสถียรภาพของรัฐบาล แต่หมายถึงเสถียรภาพทางการเมืองในความหมายที่เรามีระบบการเมืองที่เป็นที่ยอมรับในแง่ของวิธีการในการหาข้อยุติ เวลามีความคิดเห็นที่แตกต่าง และการที่เขาจะต้องมีความมั่นใจระดับหนึ่งว่า กลไกของรัฐทำงานสามารถผลักดันนโยบายต่างๆได้ มีความแน่นอนระดับหนึ่ง ตรงนี้ภาคเอกชนสามารถช่วยสร้างบรรยากาศบ้านเมืองที่ดีได้ ตรงไหนที่จะมีส่วนร่วมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยกันสร้างบรรยากาศบ้านเมืองที่ดีได้ก็จะมีน้ำหนัก ช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า ถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อย โอกาสที่เราจะฝันฝ่าวิกฤติไปได้จะค่อนข้างเร็ว
"วันนี้อาจจะดูสงบ แต่ผมบอกกับท่านได้ว่า คนที่ไม่ต้องการให้สงบยังมีอยู่ และยังทำงานอยู่ และเดือนหน้าจะเริ่มต้นเห็นความพยายามอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นผมอยากให้ท่านทั้งหลายไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือรัฐบาลแต่ช่วยเรียกร้องให้กับความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ผมบอกมาตลอดว่าใครไม่เห็นด้วย อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ผม หรือรัฐบาล ทำได้เต็มที่ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย และอย่าใช้ความรุนแรง เพราะจะกระทบกับภาพลักษณ์ของบ้านเมือง ถ้ามาประท้วงโดยสงบเรียบร้อยไม่มีปัญหา ไปอธิบายกับประเทศไหน ก็อธิบายง่าย ดีไม่ดีบอกได้ด้วยว่า นั่นแหละ ยืนยันถึงความเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าชุมนุมแล้วทำผิดกฎหมาย เผาบ้าน เผาเมือง อันนี้ ชี้แจงใครไม่ได้ ผมไม่อยากจะบอกว่า ถ้ามีใครคิดที่จะไปสนับสนุน ให้คนทำสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้อง ถ้าผมมีหลักฐาน ผมดำเนินตามกฎหมาย ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร อย่างไร ส่วนการช่วยสนับสนุนรัฐบาลนั้น ผมคิดว่าต้องอยู่บนความพอดี ไม่ตื่นตระหนก แต่ไม่ประมาท เพราะหากตื่นตระหนกเศรษฐกิจลงแน่นอน แต่ถ้านักธุรกิจประมาท ก็จะทำให้แก้ปัญหาผิดพลาด ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอะไร จะเปิดเผยอย่างโปร่งใสสามารถสอบถามได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายกรัฐมนตรี ได้เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเสนอความเห็นและสอบถามนโยบายรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลด้วยดี โดยที่ผ่านมาเห็นว่า รัฐบาลทำงานมาก แต่อ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์ จึงเสนอให้รัฐบาลทำการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ และเป็นห่วงความวุ่นวายทางการเมืองว่า อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า พยายามทำความเข้าใจและรับฟังความเห็นทุกฝ่าย โดยล่าสุดนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาก็ทำโครงการทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เชิญ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาแสดงความเห็น สะท้อนแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แม้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางคนจะมองว่า ไม่อยากรับฟังเรื่องความขัดแย้ง เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่การสร้างบรรยากาศให้กลับสู่ความสงบเรียบร้อยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน.
วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นักธุรกิจจะช่วยได้อะไร" เนื่องในโอกาสประชุมใหญ่สามัญของสมาคมส่งเสริมสถาบันบริษัทเอกชนไทย ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า สมาคมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศ ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาสู่ความยั่งยืนในการพัฒนา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปกติตนไปงานสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ หัวข้อมักจะเป็นว่า รัฐบาลจะช่วยธุรกิจได้อย่างไร แต่วันนี้กลับกัน ให้ตนมาพูดว่าท่านทั้งหลายในฐานะนักธุรกิจจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ซึ่งยอมรับว่ายากมากหัวข้อนี้ เพราะจริงๆแล้ว คำแนะนำที่ตนจะมีให้กับภาคธุรกิจ คงไม่ค่อยเหมาะสม เพราะตนเชื่อว่า บทบาทภาครัฐ กับภาคเอกชน แม้ว่าจะต้องเสริม ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ถ้าคิดแทนกันเมื่อไร ก็จะยุ่ง พาเศรษฐกิจไปไม่รอด และต้องยอมรับว่าปัญหาหลายปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทั้งในประเทศและหลายๆ ประเทศทั่วโลก มักจะเกิดจากวันที่รัฐบาลคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่านักธุรกิจในเรื่องการประกอบธุรกิจ และถ้าจะให้ภาคเอกชนคิดแทนภาครัฐ มุมมองต่อการแก้ปัญหาต่างๆ อาจจะไม่สมบูรณ์ เพราะบทบาทหน้าที่แตกต่างกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่ได้เริ่มต้นปัญหามาจากเรา ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงไม่ตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงเหมือนปี 2540 แต่ผลกระทบก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้ปี 40 ในแง่การเติบโตหรือการหดตัวของเศรษฐกิจ ปีนี้เริ่มต้นมา 3 เดือนแรก ติดลบไป 7.1 รัฐบาลตระหนักดีถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้น จากตัวเลขที่รุนแรงเช่นนี้ ทั้งนี้ด้วยความที่เศรษฐกิจเราเป็นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปิดเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก การจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนปฏิเสธไม่ได้ต้องผูกกับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของเรา
ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเร่งสร้างหลักประกันสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโดยในระยะเร่งด่วนที่สุด เราจะต้องหาทางกระตุ้นรายได้ หรือกระตุ้นการใช้จ่ายต่างประเทศให้มาชดเชยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยว รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกโดยผ่านงบประมาณกลางปีกว่าแสนล้านบาท รวมถึงการใช้เงินนอกงบประมาณโดยเฉพาะในส่วนที่ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรกว่าแสนล้าน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้สถานการณ์เฉพาะหน้าอาจจะยังดูหนัก โดยเฉพาะตัวเลขไตรมาสแรกเพิ่งปรากฏเป็นทางการ ขณะเดียวกันมีสัญญาณบางตัวที่ไปในทางที่ดี โดยเฉพาะถ้าเทียบตัวเลขเดือนก.พ.–เม.ย. จำนวนคนที่ออกจากงานลดลงเรื่อยๆ แต่รัฐบาลก็ไม่ประมาทหรือชะล่าใจ คาดว่าต้องดูอีกระยะหนึ่งให้มั่นใจว่า มันเป็นแนวโน้มจริงๆ และแม้ว่าจะมีความวุ่นวายในทางการเมืองช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาอย่างไร เราก็ไม่เคยเสียสมาธิที่จะดำเนินงานตามนโยบาย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วง 5-6ปีก่อนหน้านี้ ที่พูดกันว่าเศรษฐกิจดี รัฐบาลแทบไม่ได้ใช้เงินลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสักเท่าไร นอกจากสนามบินที่เหลือแม้แต่ถนนหนทางอย่าว่าแต่สร้างใหม่ งบประมาณในการซ่อมแซมก็ถูกปรับลดไปเยอะ ฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะเอื้ออำนวยให้เราสามารถลดต้นทุนทางด้านระบบการขนส่งโลจิสติก ทำให้ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ การท่องเที่ยวได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐชัดเจนมากยิ่งขึ้น และหวังว่าสัปดาห์หน้าศาลรัฐธรรมนูญ จะกรุณาวินิจฉัยเรื่อง พ.ร.ก.การกู้เงินเรียบร้อยสัปดาห์ถัดไป รัฐสภาจะกรุณาผ่าน พ.ร.ก.และพ.ร.บ.กู้เงินให้รัฐบาล หลังจากนั้นยืนยันว่า เตรียมการที่จะให้การกู้เงินเข้าสู่ระบบการลงทุนเริ่มต้นได้ตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นไป โครงการทุกโครงการเราจะทำเว็บไซต์ขึ้นมาเฉพาะ ให้คนติดตามความคืบหน้า และมีความโปร่งใส เพราะเรารู้ว่า นี่คือเงินกู้ และหลายคนทราบดีว่าเป็นภาระในอนาคตที่จะต้องชำระหนี้ คาดหวังว่าในเชิงการกระตุ้นเศรษฐกิจมาตรการรอบนี้จะสร้างงานได้ถึง 1.5 ถึง 2 ล้านคนใน 3 ปีข้างหน้า ผลสุดท้ายจริงๆ ที่เราต้องการคือ ความเข้มแข็งในระบบเศรษฐกิจ การศึกษาสุขภาพ และอื่นๆในประเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กลางเดือนหน้า ที่จะเริ่มต้นกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับใหม่ จะกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทยด้วยในทางเศรษฐกิจ จุดเน้นสำคัญของเราคือ เศรษฐกิจภาคการเกษตร จะต้องเติบโตอีกมากเพราะยืนยันเป้าหมายการเป็นผู้ผลิต และผู้ส่งออกอาหารชั้นนำของโลก พร้อมกับการเป็นผู้ผลิตพลังงานทดแทนจากภาคการเกษตรที่สำคัญในภูมิภาคด้วย ดังนั้นต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเพราะวันนี้เรายังล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนภาคอุตสาหกรรม จะเน้นเพิ่มมูลค่าและการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ส่วนภาคบริการและการท่องเที่ยวจะมีการแข่งขันมากขึ้น โดยจะทบทวนดูจุดแข็ง จุดอ่อนต่างๆ มีแผนงานเชิงยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้นและผู้ที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงคือภาคธุรกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม ตนจะยึดหลักการทำงานคือจะมีการปรึกษาหารือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องภาคธุรกิจเอกชนและประชาชนผู้เกี่ยวข้อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนกำลังไล่คลี่คลายปัญหาเรื่องการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน เป็นปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากภาครัฐเมื่อตนเข้ามา นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร้องเรียนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานของหน่วยงานภาครัฐบางเรื่องหลายปีแล้ว แต่ละกระทรวงมีความเห็นแตกต่าง เอกชนปฏิบัติไม่ถูก โครงการก็เดินต่อไม่ได้ ระยะหลังกฎระเบียบต่างๆ ก็มากมาย และมีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก ตั้งแต่ ศาลปกครอง จนถึงดีเอสไอ ตรงนี้กำลังหาแนวทางคลี่คลาย ต่อไปนี้วิธีการทำงานของหน่วยงานราชการต้องประสานงาน และคำนึงถึงหน่วยงานภาพรวมมากขึ้น ถ้ายังใช้แนวคิดว่าเป็นคนถือกฎหมายฉบับนี้ ดูแลเพียงเท่านี้ การประกอบการ และการทำงานของภาคธุรกิจเอกชนจะยากลำบากมาก ทั้งนี้จะปรับปรุงอำนวยความสะดวกการติดต่อระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยจะมีหน่วยงานบริการกลางเข้ามาอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนในการติดต่อประสานงานกับภาครัฐ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะพยายามสื่อสารให้ชัดเจนในเรื่องนโยบายและมาตรการโดยภาคเอกชนจะต้องแสวงโอกาสตื่นตัวในเรื่องการแข่งขัน ทั้งของประเทศไทย อาเซียน และประเทศอื่นๆ ในโลกและการทำงานทั้งหมดนี้จะทำได้ง่ายขึ้น ถ้าเราสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศของเราได้ ตนจะตั้งใจทำตรงนี้ให้ดีที่สุด 5เดือนที่ผ่านมา ที่เสียใจที่สุดคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา ในเรื่องของการประชุมอาเซียนซึ่งตนทราบดีว่า กระทบต่อภาพลักษณ์ กระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมาก และตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.เป็นต้นมา ตนพยายามทำทุกวิถีทางที่จะคืนสภาพความปกติให้บ้านเมือง และเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นต่อไป ตรงนี้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ความเชื่อมั่นในแง่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งคำถามแต่ความเชื่อมั่น ที่มีต่อเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องที่ยังเป็นปัญหา ซึ่งต้องช่วยกันแก้ ตนไม่ได้บอกว่าเสถียรภาพทางการเมือง หมายถึงเสถียรภาพของรัฐบาล แต่หมายถึงเสถียรภาพทางการเมืองในความหมายที่เรามีระบบการเมืองที่เป็นที่ยอมรับในแง่ของวิธีการในการหาข้อยุติ เวลามีความคิดเห็นที่แตกต่าง และการที่เขาจะต้องมีความมั่นใจระดับหนึ่งว่า กลไกของรัฐทำงานสามารถผลักดันนโยบายต่างๆได้ มีความแน่นอนระดับหนึ่ง ตรงนี้ภาคเอกชนสามารถช่วยสร้างบรรยากาศบ้านเมืองที่ดีได้ ตรงไหนที่จะมีส่วนร่วมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยกันสร้างบรรยากาศบ้านเมืองที่ดีได้ก็จะมีน้ำหนัก ช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า ถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อย โอกาสที่เราจะฝันฝ่าวิกฤติไปได้จะค่อนข้างเร็ว
"วันนี้อาจจะดูสงบ แต่ผมบอกกับท่านได้ว่า คนที่ไม่ต้องการให้สงบยังมีอยู่ และยังทำงานอยู่ และเดือนหน้าจะเริ่มต้นเห็นความพยายามอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นผมอยากให้ท่านทั้งหลายไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือรัฐบาลแต่ช่วยเรียกร้องให้กับความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ผมบอกมาตลอดว่าใครไม่เห็นด้วย อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ผม หรือรัฐบาล ทำได้เต็มที่ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย และอย่าใช้ความรุนแรง เพราะจะกระทบกับภาพลักษณ์ของบ้านเมือง ถ้ามาประท้วงโดยสงบเรียบร้อยไม่มีปัญหา ไปอธิบายกับประเทศไหน ก็อธิบายง่าย ดีไม่ดีบอกได้ด้วยว่า นั่นแหละ ยืนยันถึงความเป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าชุมนุมแล้วทำผิดกฎหมาย เผาบ้าน เผาเมือง อันนี้ ชี้แจงใครไม่ได้ ผมไม่อยากจะบอกว่า ถ้ามีใครคิดที่จะไปสนับสนุน ให้คนทำสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้อง ถ้าผมมีหลักฐาน ผมดำเนินตามกฎหมาย ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร อย่างไร ส่วนการช่วยสนับสนุนรัฐบาลนั้น ผมคิดว่าต้องอยู่บนความพอดี ไม่ตื่นตระหนก แต่ไม่ประมาท เพราะหากตื่นตระหนกเศรษฐกิจลงแน่นอน แต่ถ้านักธุรกิจประมาท ก็จะทำให้แก้ปัญหาผิดพลาด ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอะไร จะเปิดเผยอย่างโปร่งใสสามารถสอบถามได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายกรัฐมนตรี ได้เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเสนอความเห็นและสอบถามนโยบายรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลด้วยดี โดยที่ผ่านมาเห็นว่า รัฐบาลทำงานมาก แต่อ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์ จึงเสนอให้รัฐบาลทำการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ และเป็นห่วงความวุ่นวายทางการเมืองว่า อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า พยายามทำความเข้าใจและรับฟังความเห็นทุกฝ่าย โดยล่าสุดนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาก็ทำโครงการทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เชิญ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาแสดงความเห็น สะท้อนแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แม้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางคนจะมองว่า ไม่อยากรับฟังเรื่องความขัดแย้ง เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่การสร้างบรรยากาศให้กลับสู่ความสงบเรียบร้อยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน.