xs
xsm
sm
md
lg

บางจากฟุ้งผลงานQ2พุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – บางจากฯรับเละกำไรจากสต็อกน้ำมันและปริมาณการกลั่นที่เพิ่มขึ้น หนุนให้ไตรมาส 2 นี้มี EBITDA สูงกว่าไตรมาสแรก ภายใต้ค่าการกลั่นเฉลี่ย 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หวั่นราคาเอทานอลที่แพงขึ้นฉุดผู้ค้าน้ำมันชะลอการขยายปั๊มจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ เนื่องจากมาร์จินลดลงกว่าการขายเบนซิน 91 ชี้ราคาน้ำมันดิบโลกส่อปรับขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเบนซินจ่อขยับเพิ่มอีก ด้าน “ประเสริฐ” มั่นใจราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนกำไรบจ.กลุ่มพลังงานดีขึ้น
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 /2552 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) สูงกว่าไตรมาสแรกที่มี EBITDA 3,026 ล้านบาท หลังจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) แล้วเสร็จ ทำให้โรงกลั่นบางจากฯสามารถกลั่นน้ำมันเฉลี่ยไตรมาสนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 9 หมื่นบาร์เรล/วัน
ทั้งนี้ โครงการ PQI จะทำให้ปริมาณน้ำมันเตาที่กลั่นได้จะลดลงจาก 30% เหลือ 10% ของกำลังการกลั่น ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น โดยไตรมาสนี้ค่าการกลั่นรวมกับการทำประกันความเสี่ยงค่าการตลาด (เฮดจิ้ง)เฉลี่ยอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมทั้งมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ 2 เดือนที่ผ่านมา บางจากมีค่าการกลั่นดีรวมกับเฮดจิ้งจะเฉลี่ยอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คงเหลือเวลาอีก 1เดือนว่าค่าการกลั่นจะเป็นเท่าใด แต่เชื่อว่าไตรมาสนี้ค่าการกลั่นจะอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าไตรมาสแรก ที่มีค่าการกลั่นอยู่ที่ 11.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ไตรมาสนี้กลั่นได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9 หมื่นบาร์เรล/วัน ขณะที่ไตรมาสที่แล้วกลั่นอยู่ 8 หมื่นบาร์เรล/วัน แถมมีกำไรจากสต็อกน้ำมันด้วย ”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการนำก๊าซฯมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่นแทนน้ำมันเตา และโครงการผลิตสาธารณูปโภคที่ปตท.ได้ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและไอน้ำมันป้อนให้โรงกลั่นบางจาก คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ขณะที่โครงการ PQI เสร็จแล้ว บริษัทตั้งเป้าจะกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 1 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งปัจจุบันก็เดินเครื่องจักรอยู่ที่ 1 แสนบาร์เรล/วันแล้ว
ขณะเดียวกัน บางจากฯได้ทบทวนความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตเอทานอลจากอ้อยเป็นมันสำปะหลัง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หากอัตราผลผลิตมันสำปะหลังอยู่ที่ 8 ตัน/ไร่/ปี จะทำให้ต้นทุนการผลิตเอทานอลลดลงเหลือเพียงลิตรละ 14-15 บาท จากปัจจบันที่บางจากฯต้องซื้อเอทานอลที่มาจากโมลาสในราคาที่สูงถึงลิตรละ 22 บาท และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นไปอีก ทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย
“สิ่งที่บางจากฯกังวลคือ หากราคาเอทานอลสูงมาก จะทำให้ผู้ค้าน้ำมันไม่ขยายปั๊มจำนวนแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าการตลาดต่ำลงเมื่อเทียบค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน และหากไทยต้องการที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกเอทานอลแล้ว จำเป็นต้องไม่มีการจำหน่ายเบนซินในประเทศเลย”
อย่างไรก็ตาม เดิมบางจากฯจะลดปริมาณการขายน้ำมันเบนซิน 91 จากที่มีอยู่ 500 ปั๊มทั่วประเทศลงเหลือ 300 ปั๊ม คงต้องระงับไปจากราคาเอทานอลที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯต้องการความชัดเจนและการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องนี้
“บางจากฯไม่ได้รับนโยบายจากกระทรวงพลังงานให้มาจำหน่ายเบนซิน 95 เพื่อกดค่าการตลาดน้ำมันชนิดนี้ให้ลดลง ซึ่งหากได้รับนโยบายมาก็ต้องคิดหนัก เพราะโรงกลั่นบางจากไม่มีการผลิตเบนซิน 95 แล้ว หากขายก็ต้องมีถังจัดเก็บน้ำมัน ที่ผ่านมาปั๊มบางจากมีการจำหน่ายน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์และเบนซินอยู่แล้วถึง 5 เกรด หากเพิ่มขึ้นก็จะมีความยุ่งยาก และสวนทางนโยบายเดิมที่ต้องการหนุนให้มีการใช้พลังงานทดแทน ทางออกคือการจัดเก็บภาษีน้ำมันชนิดนี้ให้เต็มเพดานที่ 10 บาท/ลิตรจากปัจจุบันจัดเก็บอยู่ 7.70 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาเบนซิน 95 สูงขึ้นอีก”
ด้านสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ค่าเงินสหรัฐฯอ่อนค่าลง และการกลับเข้ามาลงทุนในตลาดน้ำมันของกลุ่มกองทุนและเฮดจ์ฟันด์ ทำให้ราคาน้ำมันในครึ่งปีหลังนี้จะมีโอกาสขยับขึ้นไป 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลโดยไม่ยาก สำหรับราคาเบนซินมีโอกาสปรับสูงขึ้นอีก เนื่องจากสต็อกน้ำมันในสหรัฐฯลดลง ขณะที่โรงกลั่นบางแห่งมีปัญหา ทำให้ต้องนำเบนซินจากเอเชียไปป้อนตลาดสหรัฐฯ
ส่วนน้ำมันดีเซลพบว่าความต้องการใช้ยังเพิ่มไม่สูงมากนัก เนื่องจากแต่ละภูมิภาคมีการสต็อกดีเซลไว้จำนวนมาก ดังนั้นในปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 55-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ความตอ้งการใช้น้ำมันโลกปรับลดลงจากปีก่อน 1.5-2 ล้านบาร์เรล/วัน
จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้นนี้ ทำให้มีโอกาสที่ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในประเทศจะปรับขึ้นอีกตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ และค่าการตลาดกลุ่มเบนซินอยู่ที่ 0.9-1.20 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลค่าการตลาดอยู่ที่ 1.30-1.40 บาท/ลิตร ดังนั้นสัปดาห์นี้ บางจากฯจะไม่มีการปรับราคาขายปลีกขึ้นหลังจากผู้ค้าน้ำมันได้ปรับขึ้นไปแล้ว 80 สตางค์/ลิตรเมื่อวานนี้ แต่สัปดาห์หน้าจะพิจารณาราคาขายปลีกกันใหม่
“หากสถานการณ์ราคาน้ำมันเป็นไปในทิศทางนี้ เชื่อว่าปีนี้น่าจะเป็นปีrecord ที่ดีที่สุดของบางจากฯ ดีกว่าปีที่แล้ว ซึ่งหากไม่พิจารณาผลกระทบขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน บางจากฯมีผลดำเนินงานที่ดีมาก”
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงการลงทุนการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ว่า บริษัทฯจะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อลดสารเบนซีนในน้ำมันลง คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1,500 ล้านบาท แล้วเสร็จในปลายปี 2554
****ราคาน้ำมันขยับหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ทำให้มีหลายฝ่ายประเมินว่าทิศทางราคาน้ำมันปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น เพราะ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคมีมากขึ้น สะท้อนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และดัชนีราคาหุ้นในตลาดดหลักทรัพย์ทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัว
“ตอนนี้เริ่มมีคนมองว่าราคาน้ำมันไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นว่าจะอยู่ที่ระดับ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมนั้นมีหลายคนมองว่าราคานำมันจะอยู่ที่ระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากะนักลงทุนมีความเชื่อมันมากขึ้น ทำให้ที่ผ่านมาราคานำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและตลาดหุ้นก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งส่วนตัวมองว่าราคาน้ำมันที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นระดับที่สมดุลในการผลิตและการใช้น้ำมัน”นายประเสริฐ กล่าว
ทั้งนี้คาดว่าราคาน้ำมันคงจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่มากนักจากปัจจุบัน เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยและกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก)มีการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงทำให้มีปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดไม่มากนัก ประกอบปริมาณการใช้น้ำมันก็ปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานในปีนี้คงจะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี2551เท่านั้น โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะไม่สูงเท่ากับปี 2549-2550 ที่กลุ่มพลังงานมีกำไรเติบโตดี
สำหรับขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันในปี 2553นั้น เชื่อว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของ บจ.กลุ่มน้ำมันมีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้ปริมาณการน้ำมันสูงขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะมีการทยอยคืนเงินให้กับทางปตท.เดือนละ 400 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการคืนเงินให้กับบริษัท หลังจากที่บริษัทรับภาระในการชดเชยก๊าซแอลพีจีให้กับกระทรวงพลังงาน 7,900 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่บริษัทบันทึกรายการดังกล่าวเป็นลูกหนี้ของบริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น