ASTVผู้จัดการรายวัน - บางจากฯฟุ้งปีหน้าค่าการกลั่นพุ่งไม่ต่ำกว่า 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สวนทางอุตสาหกรรมโรงกลั่น สาเหตุโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน(PQI)แล้วเสร็จ และยังทำเฮดจิ้งน้ำมันล่วงหน้าอีก 40% ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการกลั่นเป็น 9.1-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน หวั่นรัฐยกเลิกการอุดหนุนภาษีน้ำมันในแก๊สโซฮอล์และดีเซลต้นปี52 ทำผู้บริโภคหันไปใช้เบนซินแทนแก๊สโซฮอล์ เหตุราคาไม่แตกต่าง แย้มงบการเงินปีนี้ขาดทุน มาจากสต็อกน้ำมัน 4-5 พันล้านบาท
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2552 ว่าโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ส่งผลให้ค่าการกลั่นของบางจากฯปี 2552ดีกว่าปีนี้ที่มีค่าการกลั่นเฉลี่ย 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน)เนื่องจากบริษัทฯได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าความเสี่ยง(เฮดจิ้ง)ไว้ 40%ของกำลังการกลั่นที่ระดับค่าการกลั่น 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
รวมทั้งในปี 2552 บริษัทฯจะกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 9.1-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน สูงกว่าปีนี้ที่กลั่นเฉลี่ยวันละ 7.4 หมื่นบาร์เรล โดยปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ปตท.จะรับไป 30%ตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งยังทำตลาดส่งออกน้ำมันดีเซลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และส่งออกน้ำมันเตาคุณภาพพิเศษให้กับญี่ปุ่นด้วย
"ในปีหน้าบางจากไม่ได้มองเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น แต่เรามองตลาดส่งออกด้วย เช่นดีเซล เนื่องจากบริษัทผลิตดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ จึงมีการเจรจากับโรงกลั่นอื่นๆในประเทศที่ยังผลิตไม่ได้ เพื่อแลกเปลี่ยนน้ำมัน โดยนำน้ำมันดีเซลที่ไม่ใช่มาตรฐานยูโร 4 ส่งออกแทน "
จากวิกฤติการเงินโลกทำให้ตัวเลขความต้องการใช้น้ำมันจะปรับลดลง ส่งผลต่อค่าการกลั่นน้ำมันโดยรวม โดยปีนี้คาดว่างบการเงินของบริษัทฯจะมีผลขาดทุน เนื่องจากบันทึกการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันประมาณ 4-5 พันล้านบาท เพราะต้นทุนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยต้นปีอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแต่ปลายปีนี้ราคาปรับลดลงเหลือ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่มีอยู่ประมาณ 3 ล้านบาร์เรล แต่หากไม่นำผลกระทบจากสต็อกน้ำมันเข้ามาพิจารณา ปีนี้ถือว่าบางจากมีกำไรสูงมาก เนื่องจากเป็นปีแรกที่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมีกำไรจากเดิมที่ขาดทุนมาตลอด 3-4ปี โดยล่าสุดค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 90 สตางค์/ลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงไตรมาส 4 นี้ และได้คืนภาษีจากต้นปีนี้ที่จ่ายไป 1.1 พันล้านบาท โดยปีนี้ค้าปลีกน้ำมันบางจากมีส่วนแบ่งตลาด 14% เพิ่มขึ้น 2%
"ในปีนี้โรงกลั่นทุกแห่งน่าจะมีสภาวะที่ขาดทุนจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง เชื่อว่าบางจากฯมีการขาดทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบโรงกลั่นอื่น เนื่องจากมีสต็อกน้ำมันเพียง 3 ล้านบาร์เรลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ตัดสินใจลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.5-2 ล้านบาร์เรล/วัน น่าจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อันจะทำให้การขาดทุนสต็อกน้ำมันไม่สูงมากได้ และในไตรมาสนี้โรงกลั่นจะเปลี่ยนตัวอุปกรณ์ ทำให้ต้องหยุดกลั่น 1อาทิตย์กว่า หลังจากนี้โรงกลั่นบางจากไม่ต้องหยุดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 2ปี "
โครงการPQI ที่ใช้งบลงทุน 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้น้ำมันใสปริมาณสูงขึ้น โดยลดสัดส่วนน้ำมันเตาจาก 33% เหลือ 9% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,000-4,000 ล้านบาท เป็น 6,000-8,000 ล้านบาท แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน
***ทำสัญญากรอบเงินกู้ปีหน้าหมื่นล.
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าได้เตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับปัญหาการเงินตึงตัวของโลก โดยได้ทำสัญญากับสถาบันการเงินทั้ง 10แห่งซึ่งเป็นกรอบเงินกู้ทั้งระยะสั้นและยาวรวมกว่าหมื่นล้านบาท เพื่อสำรองไว้ใช้ซื้อน้ำมันดิบหลังจากโครงการPQIแล้วเสร็จในต้นปี 2552 และการขยายการลงทุนอื่นๆด้วย ซึ่งเงื่อนไขและดอกเบี้ยเงินกู้ค่อนข้างดี
ปี 2552 บางจากฯมีแผนลงทุนเบื้องต้น 1.1 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบลงทุนประจำปีในโรงกลั่นและปรับปรุงปั๊มน้ำมัน 600 ล้านบาท โครงการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 กลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอล์ ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยจะขอคำยืนยันการบังคับมาตรฐานยูโร 4 ต้นปี 2555 จากรัฐบาล เพื่อที่จะลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นให้ผลิตน้ำมันได้ตามมาตรฐานที่รัฐกำหนด
ส่วนโครงการผลิตไบโอดีเซล ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่มีการชะลอ ใช้เงินลงทุนไม่มาก โครงการผลิตเอทานอลขนาด 2แสนลิตร/วัน มูลค่า 3 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2552 ซึ่งโครงการนี้บางจากฯจะร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ โดยใช้วัตถุดิบจากอ้อยหรือมันสำปะหลัง และโครงการเหมืองแร่โปแตซอาเซียน ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 6.5% คงต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน หลังจากนั้นค่อยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)ใหม่อีกครั้ง
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีนี้อยู่ที่ 85.8 ล้านบาร์เรล/วัน คาดว่าปี2552ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้การใช้น้ำมันอยู่ที่ระดับ 86 ล้านบาร์เรล/วัน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกโดยครึ่งปีแรกราคาน้ำมันไม่น่าจะอยู่ในระดับสูง โดยมีการประเมินว่าราคาน้ำมันในปี 52 น่าจะอยู่ที่ 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่บริษัทฯมองว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กุญแจสำคัญอยู่ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย หากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตต่ำกว่า 8% จะกระทบต่อการใช้น้ำมันโลก
ทั้งนี้ ใน 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจการกลั่นจะอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากมีกำลังการกลั่นใหม่เพิ่มอีก 8 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกไม่ดี จะยิ่งทำให้ค่าการกลั่นอ่อนตัวลงอีก จากปีหน้าที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยน่าอยู่ที่ 4-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากโรงกลั่นใหม่ของอินเดียผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว โดยปริมาณน้ำมันที่กลั่นได้ส่วนใหญ่จะป้อนภายในประเทศ หรือเหลือส่งออกไปยุโรป
ส่วนตลาดค้าปลีกน้ำมันในปีหน้า คาดว่าการแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดการใช้ลดลง 3-4%เนื่องจากส่วนหนึ่งหันไปใช้ก๊าซเอ็นจีวีและก๊าซหุงต้ม และจากการลดการอุดหนุนด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ในต้นปีหน้า ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ไม่ต่างกันมาก กังวลว่าผู้บริโภคจะหันไปใช้เบนซินเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเบนซิน 91 ส่วนบี 5 หากรัฐยังรักษาส่วนต่างราคาดีเซลไว้ที่ 1.50 บาท/ลิตร เชื่อว่าการใช้บี 5 จะเพิ่มขึ้น
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(BCP) เปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2552 ว่าโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ส่งผลให้ค่าการกลั่นของบางจากฯปี 2552ดีกว่าปีนี้ที่มีค่าการกลั่นเฉลี่ย 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน)เนื่องจากบริษัทฯได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าความเสี่ยง(เฮดจิ้ง)ไว้ 40%ของกำลังการกลั่นที่ระดับค่าการกลั่น 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
รวมทั้งในปี 2552 บริษัทฯจะกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 9.1-9.5 หมื่นบาร์เรล/วัน สูงกว่าปีนี้ที่กลั่นเฉลี่ยวันละ 7.4 หมื่นบาร์เรล โดยปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ปตท.จะรับไป 30%ตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมทั้งยังทำตลาดส่งออกน้ำมันดีเซลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และส่งออกน้ำมันเตาคุณภาพพิเศษให้กับญี่ปุ่นด้วย
"ในปีหน้าบางจากไม่ได้มองเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น แต่เรามองตลาดส่งออกด้วย เช่นดีเซล เนื่องจากบริษัทผลิตดีเซลมาตรฐานยูโร 4 ได้ จึงมีการเจรจากับโรงกลั่นอื่นๆในประเทศที่ยังผลิตไม่ได้ เพื่อแลกเปลี่ยนน้ำมัน โดยนำน้ำมันดีเซลที่ไม่ใช่มาตรฐานยูโร 4 ส่งออกแทน "
จากวิกฤติการเงินโลกทำให้ตัวเลขความต้องการใช้น้ำมันจะปรับลดลง ส่งผลต่อค่าการกลั่นน้ำมันโดยรวม โดยปีนี้คาดว่างบการเงินของบริษัทฯจะมีผลขาดทุน เนื่องจากบันทึกการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันประมาณ 4-5 พันล้านบาท เพราะต้นทุนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยต้นปีอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแต่ปลายปีนี้ราคาปรับลดลงเหลือ 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ขาดทุนจากสต็อกน้ำมันที่มีอยู่ประมาณ 3 ล้านบาร์เรล แต่หากไม่นำผลกระทบจากสต็อกน้ำมันเข้ามาพิจารณา ปีนี้ถือว่าบางจากมีกำไรสูงมาก เนื่องจากเป็นปีแรกที่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันมีกำไรจากเดิมที่ขาดทุนมาตลอด 3-4ปี โดยล่าสุดค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 90 สตางค์/ลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงไตรมาส 4 นี้ และได้คืนภาษีจากต้นปีนี้ที่จ่ายไป 1.1 พันล้านบาท โดยปีนี้ค้าปลีกน้ำมันบางจากมีส่วนแบ่งตลาด 14% เพิ่มขึ้น 2%
"ในปีนี้โรงกลั่นทุกแห่งน่าจะมีสภาวะที่ขาดทุนจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง เชื่อว่าบางจากฯมีการขาดทุนน้อยกว่าเมื่อเทียบโรงกลั่นอื่น เนื่องจากมีสต็อกน้ำมันเพียง 3 ล้านบาร์เรลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ตัดสินใจลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.5-2 ล้านบาร์เรล/วัน น่าจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อันจะทำให้การขาดทุนสต็อกน้ำมันไม่สูงมากได้ และในไตรมาสนี้โรงกลั่นจะเปลี่ยนตัวอุปกรณ์ ทำให้ต้องหยุดกลั่น 1อาทิตย์กว่า หลังจากนี้โรงกลั่นบางจากไม่ต้องหยุดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 2ปี "
โครงการPQI ที่ใช้งบลงทุน 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้น้ำมันใสปริมาณสูงขึ้น โดยลดสัดส่วนน้ำมันเตาจาก 33% เหลือ 9% ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรก่อนหักภาษีดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,000-4,000 ล้านบาท เป็น 6,000-8,000 ล้านบาท แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมัน
***ทำสัญญากรอบเงินกู้ปีหน้าหมื่นล.
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าได้เตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับปัญหาการเงินตึงตัวของโลก โดยได้ทำสัญญากับสถาบันการเงินทั้ง 10แห่งซึ่งเป็นกรอบเงินกู้ทั้งระยะสั้นและยาวรวมกว่าหมื่นล้านบาท เพื่อสำรองไว้ใช้ซื้อน้ำมันดิบหลังจากโครงการPQIแล้วเสร็จในต้นปี 2552 และการขยายการลงทุนอื่นๆด้วย ซึ่งเงื่อนไขและดอกเบี้ยเงินกู้ค่อนข้างดี
ปี 2552 บางจากฯมีแผนลงทุนเบื้องต้น 1.1 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบลงทุนประจำปีในโรงกลั่นและปรับปรุงปั๊มน้ำมัน 600 ล้านบาท โครงการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 กลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอล์ ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยจะขอคำยืนยันการบังคับมาตรฐานยูโร 4 ต้นปี 2555 จากรัฐบาล เพื่อที่จะลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นให้ผลิตน้ำมันได้ตามมาตรฐานที่รัฐกำหนด
ส่วนโครงการผลิตไบโอดีเซล ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่มีการชะลอ ใช้เงินลงทุนไม่มาก โครงการผลิตเอทานอลขนาด 2แสนลิตร/วัน มูลค่า 3 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2552 ซึ่งโครงการนี้บางจากฯจะร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ โดยใช้วัตถุดิบจากอ้อยหรือมันสำปะหลัง และโครงการเหมืองแร่โปแตซอาเซียน ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 6.5% คงต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน หลังจากนั้นค่อยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)ใหม่อีกครั้ง
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีนี้อยู่ที่ 85.8 ล้านบาร์เรล/วัน คาดว่าปี2552ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้การใช้น้ำมันอยู่ที่ระดับ 86 ล้านบาร์เรล/วัน ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกโดยครึ่งปีแรกราคาน้ำมันไม่น่าจะอยู่ในระดับสูง โดยมีการประเมินว่าราคาน้ำมันในปี 52 น่าจะอยู่ที่ 30-35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่บริษัทฯมองว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปีหน้าเฉลี่ยอยู่ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กุญแจสำคัญอยู่ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย หากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตต่ำกว่า 8% จะกระทบต่อการใช้น้ำมันโลก
ทั้งนี้ ใน 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจการกลั่นจะอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากมีกำลังการกลั่นใหม่เพิ่มอีก 8 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกไม่ดี จะยิ่งทำให้ค่าการกลั่นอ่อนตัวลงอีก จากปีหน้าที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยน่าอยู่ที่ 4-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากโรงกลั่นใหม่ของอินเดียผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว โดยปริมาณน้ำมันที่กลั่นได้ส่วนใหญ่จะป้อนภายในประเทศ หรือเหลือส่งออกไปยุโรป
ส่วนตลาดค้าปลีกน้ำมันในปีหน้า คาดว่าการแข่งขันรุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดการใช้ลดลง 3-4%เนื่องจากส่วนหนึ่งหันไปใช้ก๊าซเอ็นจีวีและก๊าซหุงต้ม และจากการลดการอุดหนุนด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ในต้นปีหน้า ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาเบนซินกับแก๊สโซฮอล์ไม่ต่างกันมาก กังวลว่าผู้บริโภคจะหันไปใช้เบนซินเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเบนซิน 91 ส่วนบี 5 หากรัฐยังรักษาส่วนต่างราคาดีเซลไว้ที่ 1.50 บาท/ลิตร เชื่อว่าการใช้บี 5 จะเพิ่มขึ้น