ผู้บริหาร บางจากฯ ยอมรับปี 51 ขาดทุน stock loss ประมาณ 4-5 พันล้าน หลังราคาน้ำมันโลกผันผวน ยันมีกำไรค่าการกลั่นมาโปะตัวเลข สำหรับแนวโน้มปี 52 คาดสถานการณ์ดีขึ้น เพราะราคาน่ำมันโลกจะสุงกว่า 40 ดอลลาร์/บาเรล
วันนี้ (16 ธันวาคม 2551) นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ในปี 2551 บริษัทจะขาดทุนจากสตอกน้ำมัน (stock loss) ประมาณ 4-5 พันล้านบาท จากปริมาณน้ำมันสำรองที่มีอยู่ 3 ล้านบาร์เรล ส่งผลให้งบการเงินรวมในปี 2551 ต้องขาดทุน เนื่องจากราคาน้ำมันเฉลี่ยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ครึ่งปีหลังราคาอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
“ปีนี้กลุ่มโรงกลั่นทุกโรงน่าจะประสบภาวะขาดทุน บางจากฯ ถือว่า ขาดทุนน้อยเมื่อเทียบกับโรงกลั่นอื่น ซึ่งปีนี้ถือว่า วิกฤต เพราะราคาน้ำมันผันผวนมาก ซึ่งเราหวังว่า วิกฤตจะจบลงในปีนี้ และปีหน้า บางจากฯ มั่นใจว่า ดีขึ้นและเห็นกำไร”
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า ในปี 2552 บริษัทจะมีความสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น เนื่องจากค่าการกลั่นจะสูงกว่าปีนี้ที่มีค่าการกลั่นเฉลี่ย 6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากเชื่อว่า ทิศทางราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับบริษัทได้ทำสัญญาล่วงหน้าไว้กว่า 40% ของกำลังการกลั่น ที่ค่าการกลั่นในระดับกว่า 7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายปฏิภาณ กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในด้านสภาพคล่องทางการเงินในการลงทุนในปีหน้า ที่กำหนดงบลงทุนภายใต้การดำเนินงานปกติไว้ที่ 600 ล้านบาท และโครงการลงทุน ยูโร 4 ในส่วนน้ำมันเบนซิน ใช้เงินไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยบริษัทมีวงเงินกู้ที่เปิดไว้กับสถาบันการเงิน 10 แห่ง จำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อเตรียมไว้สำหรับโอกาสการลงทุน
ดังนั้น ในปีหน้าบริษัทจึงมองโอกาสในการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่ต่อยอดธุรกิจบริษัทได้ ซึ่งอาจจะเข้าซื้อ หรือลงทุนกิจการด้านพลังงาน ที่เจ้าของเดิมอาจประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ โดยบริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนธุรกิจเอทานอลในไตรมาส 1 ปี 2552
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับกระทรวงการคลัง และประเทศในแถบอาเซียนในโครงการผลิตแร่โปแตซ ที่ จังหวัดขัยภูมิ ซึ่งขณะนี้บริษัทถือหุ้นอยู่ 6.5% เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท หากโครงการนี้มีอนาคตและให้ผลตอบแทนที่ดี บริษัทพร้อมเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 25%
“มองว่า โครงการแร่โปแตซ ที่เริ่มดำเนินการมาหลายปี มีความเป็นไปได้สูง และไม่น่าจะมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ราคาขณะนี้อยู่ในระดับสูง และเป็นโอกาสดีถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นจริง และคาดว่าโครงการนี้ไม่น่าจะมีปีญหาในอนาคต เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลชุมชน”
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจากฯ คาดว่า ในปี 2552 บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ประมาณ 6-8 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Prodution Quality Improvement: PQI) แล้วเสร็จ ขณะเดียวกันปีหน้าคาดว่ากำลังการกลั่นจะเพิ่มเป็น 9.5-1.0 แสนบาร์เรลต่อวัน จากปีนี้ที่อยู่ที่ 7.4 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ มองว่า ค่าการตลาดเฉลี่ยในปี 2551 จะอยู่ 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกีบปีก่อนอยู่ที่ 0.90 บาทต่อลิตร และปี 2552 ก็คาดว่า ค่าการตลาดน่าจะยืนได้ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ หรืออาจจะสูงกว่า เพราะราคาน้ำมันไม่น่าจะผันผวนมาก และเชื่อว่าจะเข้าสู่ช่วงขาลง โดยบางจากฯ เชื่อว่า จะรักษาส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันไว้ได้ที่ 14% ในปี 2551
นายอนุสรณ์ คาดว่า ในปีหน้าราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะอยู่ที่ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าราคาปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเชื่อว่า ในครึ่งหลังปี 2552 ราคาน้ำมันน่าจะปรับสูงขึ้น เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน (โอเปก) จะไม่ยอมให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำนาน เพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนธุรกิจโรงกลั่น ยังเชื่อว่า ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ในปีหน้า หากค่าการกลั่นอยู่ที่ระดับ 4-6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากต่ำกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เชื่อว่า จะมีโรงกลั่นบางส่วนที่ประสบปัญหา แต่ทางบางจากฯ มองว่า หากค่าการกลั่นต่ำกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่กระทบธุรกิจของบริษัท เพราะต้นทุนผันแปรของบริษัทอยู่ที่ 1.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเชื่อว่า คงไม่ได้รับผลกระทบ แต่ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า ธุรกิจโรงกลั่นอาจจะเกิดปัญหา