บางจากฯ ไม่ปรับแผนลงทุน 5 ปี คงระดับเม็ดเงิน 1 หมื่นล้านบาท เฟ้นหาพันธมิตรต่อยอดธุรกิจเอทานอลครบวงจร ยันไม่มีการซื้อหุ้นคืน เพราะไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ยันรายได้ยังทรงตัวที่ 1.4 แสนล้านบาท แม้จะขาดทุนสตอกน้ำมัน 252 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 14%
วันนี้ (21 พ.ย.) นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทยังคงวงเงินลงทุนตามแผนงาน 5 ปี (ปี 2551-2555) ไว้ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมมองโอกาสซื้อกิจการเพื่อต่อยอดธุรกิจ และอยู่ระหว่างมองหาพันธมิตรด้านธุรกิจการเกษตรเพื่อร่วมโครงการเอทานอลครบวงจร ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่บริษัทกำลังศึกษาอยู่เช่นเดียวกับการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนและด้านทรัพยากรธรรมชาติ
"เรายังคงงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า เอาไว้ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท แต่แทนที่เงินลงทุนดังกล่าวจะใช้หมดใน 5 ปี ก็อาจจะยืดเป็น 6-7 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะพิจารณาการลงทุนตามโอกาสและความเหมาสะม"
สถานการณ์แบบนี้ตอนนี้ทุกคนคง wait and see เพราะเราก็ต้องศึกษาการเข้าลงทุนอย่างรอบคอบ ส่วนแผนการศึกษาการทำธุรกิจใหม่นั้น โดยเฉพาะด้านธุรกิจเอทานอลครบวงจร ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการเจรจากับพันธมิตรที่ทำธุรกิจทางด้านการเกษตร เพื่อมาร่วมกันทำธุรกิจเอทานอลด้วยกัน โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 200,000 ลิตรต่อวัน และใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท รวมถึงการศึกษาโครงการอื่นๆ ที่จะช่วยต่อยอดทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจด้านโลจิสติก
นายปฏิภาณ ยังระบุเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จะเข้าซื้อหุ้นคืน เนื่องจากมองว่า ราคาหุ้น BCP ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะดำเนินการ แม้ว่าราคาหุ้นในกระดานจะปรับตัวลดลงไปมาก
"ราคาหุ้น BCP ไม่มีสภาพคล่อง เพราะคนส่วนใหญ่ซื้อแล้วก็ถือเก็บไว้เก็งกำไรในระยะยาว เนื่องจากนักลงทุนมองว่าธุรกิจพลังงานน่าจะยังมีแนวโน้มที่ดี หากเราซื้อหุ้นคืนจะยิ่งทำให้สภาพคล่องน้อยลงไปอีกประกอบกับวอลุ่มของหุ้น BCP ในตลาดยังมีน้อยยิ่งจะทำให้วอลุ่มของหุ้นน้อยลง ดังนั้นจึงควรเก็บเงินที่จะซื้อหุ้นคืนไปใช้ลงทุนในโครงการอื่นๆ หรือซื้อกิจการที่จะมาต่อยอด และเพิ่มฐานรายได้ให้กับบริษัทฯ น่าจะดีกว่า"
นายปฏิภาณ ยังคาดการณ์รายได้ในปี 2552 น่าจะใกล้เคียงปีนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง พร้อมคาดว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 2552 น่าจะอยู่ที่ระดับ 55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม จากการที่โครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Prodution Quality Improvement : PQI) จะเริ่มเดินเครื่องผลิตตั้งแต่เดือน ม.ค. 2552 น่าจะช่วยให้ EBITDA ในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 7-8 พันล้านบาท จากระดับ 3 พันล้านบาท ในปีนี้
ขณะที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยในปี 2552 อยู่ที่ 6 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากไตรมาส 3 ของปี 2551 ที่ค่าการกลั่นอยู่ที่ 5.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนค่าการกลั่นในไตรมาส 4 ของปี 2551 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ซึ่งไม่รวมกำไร
ส่วนด้านกำลังผลิตปี 2552 คาดว่ากำลังการกลั่นยังจะเพิ่มเป็น 95,000 บาร์เรลต่อวัน จากระดับ 75,000 บาร์เรลต่อวัน ในปีนี้ พร้อมคาดการณ์แนวโน้มปี 2553 คาดว่าจะผลิตได้ถึง 1 แสนบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าในไตรมาส 4 ปี 2551 บริษัทฯ ยังมีการขาดทุนจากสตอกน้ำมันอีกเล็กน้อย แต่ในภาพรวมน่าจะยังดี เพราะ 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 2551 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท
"ในไตรมาส 3 เราขาดทุนจากสตอกน้ำมันอยู่ที่ 252 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม"
ถึงแม้หลายคนจะมองว่าในปี 2552 ภาคการส่งออกจะหดตัว กำลังซื้อลดลง แต่ในส่วนของบริษัทฯ ยังมีความแข็งแรง และจะไม่แย่กว่าบริษัทอื่น เนื่องจากการเป็นผู้ประกอบการโรงกลั่นเองและยังสามารถขายน้ำมันได้เองด้วย สังเกตจากส่วนแบ่งการตลาดจากการขายน้ำมันของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 14% จากเดิม 12.4% ในปี 2550
ส่วนแนวโน้มปี 2552 ก็จะพยายามรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ระดับ 14% โดยปีหน้าจะเน้นการขายผ่านสถานีบริการมากขึ้น รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย