ปตท.ขอรอดูตลาดโลกอีก 1-2 วัน ก่อนพิจารณาปรับลดราคาขายปลีกภายในประเทศ ผู้บริหาร ชี้ เงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น ด้านราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องแตะ 93 ดอลลาร์/บาเรล นักลงทุนผวาวิกฤต "เลห์แมน-เมอร์ริล" ฉุดอุปสงค์โลกหดตัว
วันนี้ (15 ก.ย.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท.อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อปรับลดราคาน้ำมัน แต่ขอรอดูอีก 1-2 วัน เนื่องจากที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับลดลง แต่เงินบาทอ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น ค่าการตลาดปัจจุบันเฉลี่ยแล้วก็ถือว่าไม่สูงมาก
“หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับลดลง แต่เมื่อวันศุกร์ก็เริ่มปรับขึ้นมาอีก ทำให้เราต้องรอดูสถานการณ์อีก 1-2 วัน จึงจะพิจารณาได้ว่าจะปรับลดราคาน้ำมันขายปลีกหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา ค่าการตลาดยังไม่บวกสูงมาก”
โดยเมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์กในสหรัฐฯ (NYMEX) ปิดขยับขึ้นเล็กน้อย 31 เซนต์ มาที่ระดับ 101.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายประเสริฐ กล่าวถึงราคาหุ้นของ PTT ซึ่งมีแรงเทขายออกมาต่อเนื่องในช่วงนี้ เป็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ โดยราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) พร้อมยอมรับว่า ราคาหุ้นขณะนี้ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว แต่เชื่อว่า หากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากเลือกตั้งแบบโปร่งใสไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังการโกงกิน ก็จะดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา และเชื่อว่าจะมีแรงซื้อกลับมาทั้งหุ้น PTT และหุ้นในกลุ่ม PTT
“ตอนนี้ราคาหุ้นต่ำกว่า Book Value และหุ้นเราเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ก็หวังว่านักลงทุนจะกลับมาซื้อหลังความชัดเจนเรื่องตัวนายกฯ และการเมืองคลี่คลาย”
ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTT ปิดเช้าที่ราคา 238 บาท ลดลง 6 บาท เปลี่ยนแปลง -2.46% เป็นไปตามทิศทางตลาดรวมที่ปรับลง 1.36%
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบที่มีการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกในตลาดน้ำมัน NYMEX ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในบริเวณอ่าวเม็กซิโกไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากพายุเฮอริเคนไอค์ และข่าวเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐได้ยื่นขอความคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลาย
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่าว่า ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ต.ค.ร่วงลงถึง 4.87 ดอลลาร์ หรือ 4.8% แตะ 96.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกในตลาด NYMEX ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.
ทั้งนี้ โรงกลั่นในบริเวณฮุสตัน ซึ่งเป็นฐานการกลั่นน้ำมันในสหรัฐกว่า 20% นั้นไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากพายุไอค์ และได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อการผลิตอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนข่าวเลห์แมน บราเธอร์สยื่นขอความคุ้มครองตามกฎหมายล้มละลายนั้นทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า วิกฤตสินเชื่อจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและทำให้ความต้องการน้ำมันลดลง
นายร็อบ ลาฟลิน โบรกเกอร์อาวุโสของเอ็มเอฟ โกลยอล กล่าวว่า ธุรกิจน้ำมันสามารถเอาตัวรอดจากฝันร้ายที่เกิดขึ้น เพราะฐานการผลิตน้ำมันบนฝั่งได้รับความเสียหายน้อยมาก และคาดว่าจะเริ่มผลิตน้ำมันได้อีกครั้งภายในสัปดาห์นี้
ด้านราคาน้ำมันในการซื้อขายที่ตลาดลอนดอน เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบสหรัฐขยับลงถึง 4.28 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 96.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากทำสถิติลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 7 เดือนที่ 96.31 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ขยับลง 3.83 ดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 93.75 ดอลลาร์สหรัฐ.
นายเจอราร์ดเบิร์ก นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคารเนชันแนล ออสเตรเลียน แบงก์ในเมลเบิร์น ระบุว่า ราคาน้ำมันได้ชะลอการปรับตัวลง เนื่องจากยังมีแหล่งผลิตในอ่าวเม็กซิโกจำนวนมากที่ระงับการผลิต และโรงกลั่นน้ำมันยังมีความเสี่ยง โดยตลาดกำลังรอข่าวต่อไปเกี่ยวกับระดับความเสียหายก่อนที่จะมีความเคลื่อนไหวต่อไป
ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดจะจับตามองความล้มเหลวในการเจรจาเพื่อช่วยบริษัทเลห์แมน เนื่องจากสิ่งนี้อาจบดบังแนวโน้มเศรษฐกิจ และทำให้การบริโภคพลังงานลดลง ซึ่งถ้าเลห์แมนและเมอร์ริล ต้องปิดตัวลงหรือถูกเทคโอเวอร์ วาณิชธนกิจชั้นนำ 3 ใน 5 แห่งของสหรัฐ ก็จะถูกปิดฉากหรือถูกซื้อกิจการภายในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน โดยเจพีมอร์แกนเข้าซื้อแบร์ สเติร์นส์ ในเดือน มี.ค.ปีหน้า