บิ๊ก ปตท.โวยการเมืองกระทบหนัก เลื่อนแผนออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล. แบบไม่มีกำหนด หลังต้นทุนดอกเบี้ยพุ่ง มั่นใจรายได้รวม 2.2 ล้านล. ยังเป็นไปตามเป้า ขณะที่ผลกำไร แนวโน้มใกล้เคียงปีก่อน แม้แนวโน้มราคาน้ำมันโลกจะดิ่งลงแตะ 100 ดอลลาร์/บาเรล จะกระทบต้นทุนการสต็อกน้ำมัน แต่ก็ได้รับอานิสสงค์จากเงินบาทอ่อนค่า
วันนี้ ( 8 ก.ย.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า แผนออกหุ้นของกลุ่ม ปตท.ทั้งหมดในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ รวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คงต้องชะลอแผนฯออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนด หลังจากที่สถานการณ์การเมืองยังคงมีปัญหาทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู่จะอยู่ในระดับสูง จึงไม่คุ้มที่จะออกหุ้นกู้ในช่วงนี้
"ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่เอื้ออำนวยที่จะออกหุ้นกู้ ต่างชาติก็ขาดความมั่นใจที่จะมาซื้อหุ้นกู้ของเรา ดังนั้นต้องหยุดชะลอแผนออกไปก่อนจากแผนเดิมที่จะออกในไตรมาส 3 และ ไตรมาส 4 ทั้งกลุ่มไทยออยล์ (TOP) และกลุ่ม ปตท.เอง ต้องชะลอออกไปก่อน ถ้าเลี่ยงมาขายในประเทศก็เชื่อสภาพคล่องไม่เพียงพอต่อขนาดหุ้นกู้ของปตท. เราจึงต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด"
อย่างไรก็ตาม การลงทุนของกลุ่มปตท.รวมกันประมาณ 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปี จะยังคงเดินหน้าต่อไปตามแผนงาน โดยเบื้องต้นจะใช้กระแสเงินสดของแต่ละบริษัทนำมาลงทุนก่อน ซึ่งเชือ่ว่าเพียงพอต่อการลงทุน
ส่วนผลประกอบการดำเนินงานในไตรมาส 3/51 คาดว่าจะปรับตัวลงจากไตรมาส 2/51 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจาก 130-140 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 2 มาอยู่ต่ำกว่า 110 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปัจจุบัน ทำให้บางบริษัทประสบผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน แต่จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อการบันทึกบัญชีที่เป็นรูปเงินบาท จึงเชื่อว่า รายได้ทั้งปี 51 จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 ล้านล้านบาท แต่กำไรสุทธิคงใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากต้นทุนเพิ่ม
"ยอมรับว่ารายได้และกำไรในช่วงไตรมาส 3 จะต่ำกว่าไตรมาส 2 เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงเยอะ แต่เมื่อเทียบกับกับงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้และกำไรจะไม่ขี้เหร่มากนัก และยอมรับได้ ทำให้ทั้งปี ยังคงเป้าหมายรายได้ที่ 2 ล้านล้านบาท แต่กำไรคงใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นเยอะ" นายประเสริฐ กล่าว
ส่วนราคาหุ้นในตลาดของกลุ่ม ปตท. นายประเสริฐ ยอมรับว่าขณะนี้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาก แต่ก็อยู่ระหว่างการศึกษาซื้อหุ้นคืนแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป และยืนยันว่าการซื้อหุ้นคืน ไม่ได้เป็นการสร้างราคาหุ้น แต่เห็นว่าราคาหุ้นในกลุ่ม ปตท.ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเป็นไปตามภาวะโดยรวม
ขณะเดียวกัน นายประเสริฐ กล่าวถึงภาวะราคาน้ำมัน หากโอเปกมีมติลดกำลังการผลิตลง ก็อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่มากนัก ส่วนราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ยังไม่มีการพิจารณาปรับลดในช่วงนี้ เพราะค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์มีจำนวน 1 บาท/ลิตร ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากจะต้องมีการนำเงินส่งเข้ากองทุน 0.30 บาท/ลิตรด้วย ดังนั้นแม้ราคาน้ำมันโลกจะอ่อนตัว ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายประเสิรฐ ยังกล่าวในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยระบุว่าสภาฯ ได้มีหารือและมีข้อสรุปเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการฉุกเฉิน ในเขตท้องที่กรุงเทพ เพราะทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน และจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อ จะยิ่งส่งผลต่อภาคการลงทุน และจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
"เราต้องการให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเรียกร้องต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่การคลี่คลายปัญหาก็ไม่อยากเห็นความรุนแรง อยากให้แก้ไขโดยสันติ และคิดถึงปัญหาของชาติโดยรวมเป็นสำคัญ" นายประเสริฐ กล่าวทิ้งท้าย