บลจ.ทิสโก้รับปีนี้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอาจโตไม่เข้าเป้า 15% แต่ยังเชื่อมีโอกาสที่เอยูเอ็มจะเพิ่มขึ้นถึง 10% ได้ หวังอานิสงส์ธนาคารทิสโก้ขยายสาขาดันฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่ม "สุทัศน์" มองการลงทุนในหุ้นน่าสน หลังราคาหุ้นทั่วโลกร่วงหนัก แต่แนะอย่าเพิ่งเข้าลงทุนหุ้นไทย เหตุการเมืองยังไม่นิ่ง เชื่อหลังทุกอย่างคลี่คลาย ตลาดหุ้นจะกลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง
นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีการเติบโตไม่เท่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นเกิดความผันผวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของบลจ.ทิสโก้ในปีนี้ จะยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 10% แต่จะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในปี 2551 น่าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 15% ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง ก็น่าจะมีการเติบโตที่น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% เช่นเดียวกัน เนื่องมาจากตอนนี้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% โดยบลจ.มีเอยูเอ็มจำนวน 113,600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 18,580 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 64,370 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวนจำนวน 30,650 ล้านบาท จากปลายปี 2550 ที่บลจ.มีเอยูเอ็มรวม 107,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 14,500 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 62,700 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวน 31,300 ล้านบาท
"ในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลนั้น เราสามารถขยายตัวได้ตามอุตสาหกรรม แต่ในส่วนของกองทุนรวมเรามีการเติบโตในอัตราที่มากกว่าอุตสาหกรรม เนื่องมาจากบริษัทมีฐานจำนวนเงินกองทุนรวมไม่มาก" นายสุทัศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบลจ.ทิสโก้ ได้เน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ขณะที่ในอนาคตธนาคารทิสโก้มีแผนที่จะเปิดสาขาของธนาคารอย่างต่อเนื่อง และน่าจะส่งผลดีต่อบลจ.ในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายผ่านธนาคารทิสโก้ประมาณ 40% จากช่วงที่ผ่านมาซึ่งบริษัทมียอดขายผ่านธนาคารทิสโก้เพียง 20 -30% เท่านั้น ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 บลจ.มียอดขายกองทุนผ่านทางธนาคารทิสโก้แล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท
นายสุทัศน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนงานกองทุนรวมหลังจากนี้ นอกจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RME) ซึ่งเป็นกองทุนที่นักลงทุนมีความสนใจและเข้าใจถึงนโยบายของกองทุนอยู่แล้ว ในส่วนของกองทุนรวมประเภทอื่น บลจ.ก็มีแผนที่จะขยายอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามคงจะต้องมีการพิจารณาเรื่องของเวลาในการออกกองทุนเป็นหลักในการตัดสินใจด้วย
"เราต้องดูว่าการลงทุนช่วงนี้เหมาะกับกองทุนประเภทใด คือ ต้องเลือกดู Timeing ในการออกด้วย ซึ่งตอนนี้ภาวะการเมืองไทยยังไม่มีความแน่ชัดมากนัก จึงแนะนำให้กระจายการลงทุนออกไปนอกประเทศจะดีกว่า และบลจ.ทิสโก้มีแผนในการออกกองอยู่แล้ว แต่แผนดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น" นายสุทัศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้การลงทุนในหุ้นเริ่มมีความสนใจมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทหลังจากนี้อาจมีการออกกองทุนที่ลงทุนในดัชนีทั้งที่ลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้น และลงทุนผ่านตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
นายสุทัศน์ กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่งได้กดดันตลาดหุ้นและการลงทุนโดยตรง เพราะนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ ในขณะที่ราคาหุ้นของไทยนั้นแม้ว่าจะมีระดับราคาที่ต่ำแต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลังเมื่อสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจน หรือ ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นใหม่และได้รัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากคนส่วนใหญ่ ก็จะทำให้สถานการณ์การลงทุนและตลาดหุ้นดีขึ้นและทำให้นักลงทุนอยากเข้ามาลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
"หลังจากที่การเมืองเริ่มนิ่งขึ้น ภาพรวมจะดีขึ้น ซึ่งในระยะสั้นนั้นแนะนำให้นักลงทุนรอให้เห็นภาพการเมืองที่ชัดเจนจึงลงทุนยังไม่สาย ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้นอกจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว ยังต้องติดตามปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันด้วย เพราะถ้าราคาน้ำมันกลับไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน"นายสุทัศน์ กล่าว
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนั้น นายสุทัศน์ กล่าวว่า ตอนนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าเทียบกับค่าเงินของสกุลอื่นซึ่งอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังเป็นอัตราที่น้อยกว่า ซึ่งการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมานั้นเป็นไปตามทิศทางของค่าเงินสกุลอื่น อย่างไรก็ตามปัจจุบันค่าเงินทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนประเมินเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มที่ไม่ดี จึงทำให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนจึงเกิดสถานการณ์ผันผวนขึ้น ซึ่งคาดว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นเป้าหมายในการลงทุนต่อไปของนักลงทุน
นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีการเติบโตไม่เท่าที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นเกิดความผันผวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของบลจ.ทิสโก้ในปีนี้ จะยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 10% แต่จะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการในปี 2551 น่าจะขยายตัวขึ้นประมาณ 15% ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง ก็น่าจะมีการเติบโตที่น้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% เช่นเดียวกัน เนื่องมาจากตอนนี้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% โดยบลจ.มีเอยูเอ็มจำนวน 113,600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 18,580 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 64,370 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวนจำนวน 30,650 ล้านบาท จากปลายปี 2550 ที่บลจ.มีเอยูเอ็มรวม 107,700 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกองทุนรวมจำนวน 14,500 ล้านบาท , กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 62,700 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลจำนวน 31,300 ล้านบาท
"ในส่วนของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลนั้น เราสามารถขยายตัวได้ตามอุตสาหกรรม แต่ในส่วนของกองทุนรวมเรามีการเติบโตในอัตราที่มากกว่าอุตสาหกรรม เนื่องมาจากบริษัทมีฐานจำนวนเงินกองทุนรวมไม่มาก" นายสุทัศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบลจ.ทิสโก้ ได้เน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ขณะที่ในอนาคตธนาคารทิสโก้มีแผนที่จะเปิดสาขาของธนาคารอย่างต่อเนื่อง และน่าจะส่งผลดีต่อบลจ.ในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายผ่านธนาคารทิสโก้ประมาณ 40% จากช่วงที่ผ่านมาซึ่งบริษัทมียอดขายผ่านธนาคารทิสโก้เพียง 20 -30% เท่านั้น ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 บลจ.มียอดขายกองทุนผ่านทางธนาคารทิสโก้แล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท
นายสุทัศน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนงานกองทุนรวมหลังจากนี้ นอกจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RME) ซึ่งเป็นกองทุนที่นักลงทุนมีความสนใจและเข้าใจถึงนโยบายของกองทุนอยู่แล้ว ในส่วนของกองทุนรวมประเภทอื่น บลจ.ก็มีแผนที่จะขยายอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามคงจะต้องมีการพิจารณาเรื่องของเวลาในการออกกองทุนเป็นหลักในการตัดสินใจด้วย
"เราต้องดูว่าการลงทุนช่วงนี้เหมาะกับกองทุนประเภทใด คือ ต้องเลือกดู Timeing ในการออกด้วย ซึ่งตอนนี้ภาวะการเมืองไทยยังไม่มีความแน่ชัดมากนัก จึงแนะนำให้กระจายการลงทุนออกไปนอกประเทศจะดีกว่า และบลจ.ทิสโก้มีแผนในการออกกองอยู่แล้ว แต่แผนดังกล่าวสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น" นายสุทัศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก ทำให้การลงทุนในหุ้นเริ่มมีความสนใจมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทหลังจากนี้อาจมีการออกกองทุนที่ลงทุนในดัชนีทั้งที่ลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้น และลงทุนผ่านตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note)
นายสุทัศน์ กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่นิ่งได้กดดันตลาดหุ้นและการลงทุนโดยตรง เพราะนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ ในขณะที่ราคาหุ้นของไทยนั้นแม้ว่าจะมีระดับราคาที่ต่ำแต่ตลาดหุ้นทั่วโลกก็มีการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหลังเมื่อสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจน หรือ ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นใหม่และได้รัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากคนส่วนใหญ่ ก็จะทำให้สถานการณ์การลงทุนและตลาดหุ้นดีขึ้นและทำให้นักลงทุนอยากเข้ามาลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
"หลังจากที่การเมืองเริ่มนิ่งขึ้น ภาพรวมจะดีขึ้น ซึ่งในระยะสั้นนั้นแนะนำให้นักลงทุนรอให้เห็นภาพการเมืองที่ชัดเจนจึงลงทุนยังไม่สาย ซึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้นอกจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว ยังต้องติดตามปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันด้วย เพราะถ้าราคาน้ำมันกลับไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน"นายสุทัศน์ กล่าว
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในขณะนั้น นายสุทัศน์ กล่าวว่า ตอนนี้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าเทียบกับค่าเงินของสกุลอื่นซึ่งอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐยังเป็นอัตราที่น้อยกว่า ซึ่งการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมานั้นเป็นไปตามทิศทางของค่าเงินสกุลอื่น อย่างไรก็ตามปัจจุบันค่าเงินทั่วโลกมีความผันผวนค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนประเมินเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มที่ไม่ดี จึงทำให้เกิดการโยกย้ายเงินทุนจึงเกิดสถานการณ์ผันผวนขึ้น ซึ่งคาดว่าภูมิภาคเอเชียจะเป็นเป้าหมายในการลงทุนต่อไปของนักลงทุน