"บางจาก" ฟันกำไรพุงกาง หวั่นนักลงทุนทิ้งหุ้น-เตรียมใช้ปันผลมัดใจ

"บางจาก" เตรียมแผนป้องกันผู้ถือหุ้นทิ้ง เตรียมใช้เงินปันผลล่อใจ แย้มมากกว่าปีก่อนที่จ่ายหุ้นละ 0.30 บาท หลังกำไรสะสม 9 เดือน มากกว่า 9 พันล้านบาท พร้อมคาดค่าการกลั่นำตรมาส 4 ฟื้นตัวได้ แต่ทั้งปียังขาดทุนสต็อกน้ำมัน ส่วนปีหน้ามั่นใจผลิตน้ำมันได้ 9.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน หลังโครงการ PQI เดินเครื่องผลิตได้ต้นปี

วันนี้ ( 24 พ.ย.) นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้คาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่าปีก่อนที่ 0.30 บาทต่อหุ้น เนื่องจากบริษัทมีกำไรสะสมอยู่แล้ว โดยงวด 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรสะสมอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท

ขณะที่ค่าการกลั่นในปีนี้คาดว่าแนวโน้มไม่รวมสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ระดับ 5 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งในไตรมาส 3/2551 ที่ผ่านมาค่าการกลั่นมีความผันผวนตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น คาดว่าไตรมาส 4/2551 ค่าการกลั่นจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วคาดว่าจะอยู่ที่ที่ระดับ 5 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งไม่รวมสต็อก แต่ทั้งปีคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันในส่วนที่เหลือจากไตรมาส 3/2551 และคาดว่าการขาดทุนจากสตอกน้ำมันจะสิ้นสุดในไตรมาส 4/2551

ส่วนโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) น่าจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมทันที หลังจากที่ล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่จะเดินเครื่องได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 โดยจะส่งผลให้ในปี 2552 ปริมาณการผลิตของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 9.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน

"จากเป้าเดิมที่จะเดินเครื่องในเดือนตุลาคมปีนี้ และจะทำใก้ผลิตน้ำมันได้ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่การเลื่อนมาเดินเครื่องในปี 2552 ทำให้ไม่สามารถผลิตได้เต็มที่จึงเหลือแค่ 9.5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน"

ขณะที่แนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในตลาดดูไบในปีหน้าน่าจะอยู่ที่ระดับ 50-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากมีความชัดเจนในเรื่องความต้องการ และปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ระดับ 49.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นายปฏิภาณ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการขยายการดำเนินธุกริจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อกระจายรายได้ และเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่มาจากต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่ยังมีอยู่น้อยมาก

สำหรับปัจจุบันบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันประมาณ 500 สถานี ซึ่งเป็นการบริหารเอง 160 สถานี ส่วนที่เหลือเป็นจอยท์เวนเจอร์และดีลเลอร์ ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีสถานีบริการน้ำมันของบริษัทปิดตัวลง 100 แห่ง ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นปิดตัวลงมากกว่าอยู่ที่ประมาณ 300-400 แห่ง ทำให้บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ที่ระดับ 14%

นอกจากนี้ โครงการทำเหมือง Potash ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 6.56% ปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับบริษัทฯ แม่ว่าจะมีนโยบายและการเจรจาอย่างไร ซึ่งหากมีการลงทุนเพิ่มก็อาจต้องเพิ่มทุนเพื่อสร้างการขยายตัว แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุป