ปตท.ควักกระเป๋ากว่า 2 หมื่นล้าน พยุงราคาหุ้น หลังโดนต่างชาติเทกระจาดขายล้างพอร์ต ขณะที่ปั๊มในเครือกว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ กำลังขาดทุนอย่างหนักจากสตอกน้ำมัน และการปรับลงแบบขั้นบันได ตามนโยบายกึ่งลอยตัว และการแทรกแซงตลาดในประเทศ ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกทำสถิติต่ำสุดทุกวัน เตรียมลดราคาน้ำมันหน้าคลัง ล่วงหน้า 1 วัน ก่อนปรับราคา เพื่อพยุงสถานการณ์
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งงบประมาณจำนวน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาหุ้นในกลุ่มของ ปตท. หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างมาก ล่าสุดใช้ไปแล้ว 5 พันล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะใช้เพื่อการลงทุนอื่นที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้ แต่ต้องขึ้นกับโอกาสและจังหวะที่เหมาะสมด้วย
"เราตั้งไว้ 2 หมื่นล้านบาท แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้หมดหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่ตอนนี้ เราก็ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างกลุ่ม ปตท. ในช่วง 1-2 ปีนี้ เพื่อพลิกสถานการณ์ เมื่อทุกอย่างออกมาดี สถานะของเราเข้มแข็งเราก็จะกลับมาสร้างโอกาสที่ดี ที่สำคัญเราจะต้องมีความเข้มแข็งทางการเงิน"
นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ลงทุนซื้อหุ้นผ่านกองทุนเปิดดัชนีธุรกิจพลังงาน ธุรกิจปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ซึ่งบริหารโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด ไปแล้วกว่า 5 พันล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายบลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี 80-90% และส่วนใหญ่เป็นการลงทุนหุ้นในกลุ่ม ปตท.เกือบทั้งหมด
นอกจากนี้ ปตท. ยังมีแผนเพิ่มการลงทุนในบริษัทในเครือ โดยลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งขณะนี้ได้เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 37% และมีแนวโน้มเพิ่มเป็น 40% แต่จำกัดไว้ไม่ให้เกิน 50% เพราะเกรงว่าจะแปรสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ
อย่างไรก็ตาม นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีการศึกษาซื้อหุ้นคืนทั้งของ ปตท.เอง รวมทั้งเปิดโอกาสให้บริษัทลูกซื้อหุ้นคืนด้วยตัวเองด้วย ซึ่งขณะนี้เท่าที่ดูบริษัทลูกที่สามารถซื้อหุ้นคืนได้ ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แต่จะตัดสินใจซื้อหุ้นคืนหรือไม่ และเมื่อใดนั้น ก็ขึ้นกับจังหวะเวลาและกำลังเงิน ส่วนบริษัทลูกอื่น เช่น บมจ. ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ยังไม่สามารถทำได้ เพราะยังต้องกันเงินไว้ลงทุนอีกมาก
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างกลุ่ม ปตท. และลงทุนโครงการท่อก๊าซ โรงแยกก๊าซ รวมถึงมีการมองหาบริษัทอื่นในการควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อจะขยายธุรกิจทีเกี่ยวเนื่อง รวมถึงการขยายพื้นที่ในการลงทุน ซึ่งจากการประเมิน คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2553 แต่ทั้งนี้ ปตท.ก็ยังมีภาระในการชำระคืนหนี้แต่ละปีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวถึงภาพรวมตลาดน้ำมันของ ปตท. โดยระบุว่า ปตท.มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันในประเทศไทยประมาณ 10,000 แห่ง โดย 4,000 แห่งเป็นสถานีบริการมาตรฐาน และอีกกว่า 6,000 แห่งเป็นสถานีน้ำมันที่มีขนาดเล็ก ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วนับเป็นผลดีต่อผู้บริโภค
นายวิทยา กล่าวถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาลง และกลไกตลาดแบบกึ่งลอยตัว โดยอ้าง
อิงราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งผลจากการประกาศปรับลดราคาขายปลีกทุกวัน กำลังส่งผลกระทบต่อสถานีบริการน้ำมันเหล่านี้ ซึ่งปั๊มน้ำมันเหล่านี้จะขาดทุนสตอกทันที และอาจจะไม่กล้าที่จะเข้ามาซื้อน้ำมันไปจำหน่าย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคตามมาที่อาจจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในบางสถานี โดยเฉพาะสถานีขนาดเล็ก และต้องวิ่งไปเติมน้ำมันในสถานีบริการขนาดใหญ่ที่ไกลกว่าแทน
ดังนั้น การพิจารณาปรับลดราคาน้ำมัน ปตท.จึงต้องดูควบคู่ไปด้วยระหว่างความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค (ผู้ใช้น้ำมัน) และเจ้าของสถานีบริการน้ำมันต่างๆ
"การค้าน้ำมันต้องดูให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งจากราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ค่าการตลาดขณะนี้ยอมรับว่าได้สูงถึง 3 บาทต่อลิตร แต่เฉลี่ยทั้งปียังคงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นโดยได้เพียง 1.20 บาทต่อลิตรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังดูว่าจะลดราคาน้ำมันขายปลีกอีกในเร็วๆ นี้"
ขณะที่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) รายงานว่า วานนี้ (19 พ.ย.) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์กของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือน ธ.ค. ปรับลดลง 0.77 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ระดับ 53.62 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยปรับเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 313.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซินคงคลัง ปรับเพิ่มขึ้น 0.4 และ 0.5 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ
นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐ และดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ ปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 60 ปี โดยปรับลดลงร้อยละ 1 ในเดือน ต.ค. โดยอัตราเงินเฟ้อฐานซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานปรับลดลง ร้อยละ 0.1 ซึ่งล่าสุด รัฐมนตรีน้ำมันกลุ่มโอเปก Chakib Khelil เปิดเผยว่า อาจไม่มีมติให้ลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 29 พ.ย.นี้ ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เนื่องจากต้องการรับรู้ผลจากการปรับลดกำลังการผลิตในวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาให้ชัดเจนก่อน
ส่วนราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ เบนซินยังคงปรับตัวลดลงมากกว่าการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเบนซินลดลง 2.40 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 42.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบ ลดลง 0.70 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 45.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดีเซลลดลง 1.34 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 65.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล