xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.เคมิคอลจ่อซื้อรง.ปิโตรฯอาเซียน เผยมีเม็ดเงินลงทุน6หมื่นล.ใน5ปีหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปตท.เคมิคอลเร่งเจรจาซื้อกิจการโรงงานปิโตรเคมีในอาเซียน หวังต่อยอดธุรกิจโอโลฟินส์ มั่นใจได้ข้อสรุปปีหน้า ฟุ้งมีเงินที่จะลงทุนถึง 6หมื่นล้านบาทภายใน 5ปีข้างหน้า ยันวางแผนรับมือหากโรงแยกฯหน่วย 6 ไม่สามารถผลิตได้ตามกำหนด โดยจะมีการหยุดโรงแครกเกอร์บางโรงเพื่อนำวัตถุดิบมาป้อนโรงเอทิลีนแครกเกอร์ล้านตันที่จะแล้วเสร็จปลายปี 2552 แย้มแผนควบรวมกิจการ 4 บริษัทในเครือปตท.ส่อแววเลื่อนจากปลายปีนี้ เหตุต้องรอความชัดเจนคดีมาบตาพุดก่อน ด้านปตท.หวั่นมาบตาพุดฉุดการใช้ก๊าซฯหด 300 ล้านลบ.ฟุต/วัน และต้องนำเข้าแอลพีจีต่างประเทศเพิ่ม

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการโรงงานปิโตรเคมีเพื่อต่อยอดธุรกิจโอเลฟินส์ โดยเน้นลงทุนในประเทศอาเซียน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2553 โดยบริษัทฯมีขีดความสามารถในการลงทุนดังกล่าวถึง 6 หมื่นล้านบาทในช่วง 5ปีข้างหน้า (2553-2557) นอกเหนือจากการลงทุนตามปกติในแต่ละปี สาเหตุที่บริษัทฯให้ความสนใจในการขยายการลงทุนในอาเซียน เนื่องจาก อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรสูงถึง 500 กว่าล้านคน เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง การทำงานร่วมกับบริษัทในอาเซียนที่มีความใกล้เคียงด้านวัฒนธรรมมากกว่ า ซึ่งขณะนี้ได้มีการเจรจาหลายโครงการและมีความคืบหน้าไปมาก โดยเน้นการลงทุนต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วและกำลังสร้างใหม่ โดยการตัดสินใจลงทุนนั้นจะพิจารณาจากความต้องการของตลาดในอนาคต

นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯมีแผนรับมือหากโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามภายในต้นปีหน้า เนื่องจากคำสั่งศาลฯ บริษัทฯก็อาจจะดีเลย์การเดินเครื่องโรงแครกเกอร์เดิม(I1) ออกไปต่ออีกระยะหนึ่ง เพื่อนำวัตถุดิบหรือก๊าซฯไปป้อนให้โรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ 1 ล้านตันของบริษัท พีทีที โพลีเอทิลีนจำกัด(PTTPE)ที่จะแล้วเสร็จปลายปีนี้ รวมทั้งหาช่องทางการจัดหาวัตถุดิบมาป้อนด้วย เนื่องจากโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ 1 ล้านตันจะใช้ก๊าซฯเป็นวัตถุดิบจำนวนมา ซึ่งเดิมจะรับวัตถุดิบจากโรงแยกฯหน่วยที่ 6

ทั้งนี้ บริษัทฯได้เลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรง I1 จากเดิมปลายปีนี้เป็นต้นปีหน้าแทน ประมาณ 30-40 วัน เพื่อนำก๊าซฯที่ใช้ป้อนโรงงานดังกล่าวมาป้อนให้โรงเอทิลีนแครกเกอร์ล้านตันระหว่างที่โรงแยกฯไม่สามารถดำเนินการได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางสั่งคุ้มครองชั่วคราว 76 โครงการในมาบตาพุดโดยใช้เวลาไม่นาน โดยกลุ่มปตท.พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเร่งศึกษาและดำเนินการทำผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA) แม้ว่าจะไม่มีกฎระเบียบแน่ชัดออกมา จากปัญหาควาไม่แน่ชัดในกรณีมาบตาพุดดังกล่าว ทำให้แผนการควบรวมกิจการของ 4 บริษัทในเครือปตท. คือ บมจ.ปตท.เคมิคอล บมจ.ไทยออยล์ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น และบมจ.ไออาร์พีซี อาจต้องเลื่อนออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในปลายปีนี้ เพราะต้องรอความชัดเจนคำสั่งศาลปกครองสูงสุดก่อน

นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากเดิมที่บริษัทฯคาดการณ์ว่าไตรมาส 3 นี้จะกำลังการผลิตปิโตรเคมีในตะวันออกกลางและจีนที่จะเริ่มทะยอยเข้ามา กดดันให้ต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ลดลง แต่พบว่าไตรมาส 3 สเปรดมาร์จินก็ยังดีอยู่ เชื่อว่าไตรมาส 4/2552 ก็ยังดีอยู่ โดยตลาดในภูมิภาคนี้ยังมีความต้องการเอทิลีนอยู่มาก ขณะที่กำลังการผลิตใหม่จะทยอยเข้ามาในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2553 ประมาณ 7 ล้านตัน ส่วนสเปรดเม็ดพลาสติกHDPE จะอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 200 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่สเปรดMEG ค่อนข้างแคบมากเนื่องจากมีกำลังการผลิตล้นตลาด ทำให้บริษัทฯต้องหาตลาดเพิ่มเติม ควบคู่กับการลดต้นทุนการผลิต

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสเปรดของเอทิลีนจะอยู่ที่ 308 เหรียญสหรัฐ/ตัน, HDPE อยู่ที่ 283 เหรียญสหรัฐ/ตัน, MEG 79 เหรียญสหรัฐ/ตัน, โอลิโอเคมี 202 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนฐานะการเงินของบริษัทฯแข็งแกร่ง โดยมีภาระหนี้ที่จะต้องชำระในปีหน้าเพียง 1.4 พันล้านบาท ขณะที่มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษีประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่มีปัญหาด้านการเงินหากโครงการแครกเกอร์ล้านตันไม่สามารถเดินเครื่องจักรได้ตามกำหนด

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 6 ไม่สามารถเปิดได้ตามกำหนดในไตรมาส 1/2553 จะส่งผลให้การใช้ก๊าซฯลดลงวันละ 300 ล้านลบ.ฟุต/วัน ไทยต้องมีการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของเครือปตท.ก็จะกระทบด้วย เนื่องจากโรงแยกก๊าซฯนี้จะป้อนวัตถุดิบให้กับโรงเอทิลีนแครกเกอร์ 1 ล้านตันของบมจ.ปตท.เคมิคอล เป็นลูกโซ่ ส่วนความเชื่อมั่นด้านการลงทุนนั้นยิ่งได้รับผลกระทบมาก

ทั้งนี้ ในปีหน้าปตท.จะมีกำลังการผลิตใหม่จากแหล่งเจดีเอของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมเข้ามา ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซฯขยายตัวขึ้น 8-10% ส่วนกำลังการผลิตปิโตรเคมีจากบริษัทในเครือฯจะเพิ่มขึ้นอีก 40% ส่งผลให้รายได้ของปตท.เติบโตขึ้นหากโครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2552 แม้ว่าสถานการณ์มาร์จินปิโตรเคมีและค่าการกลั่นอาจจะอ่อนตัวลงบ้างเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 โดยค่าการกลั่นเหลือเพียง 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมทั้งปตท.สผ.บันทึกค่าใช้จ่ายเพิ่มเกี่ยวกับอุบัติเหตุแหล่งมอนทารา ที่ออสเตรเลียเข้ามา แต่ก็มีความหวัง ผลประกอบการของปตท.ในไตรมาส 4 ยังดีอยู่ โดยไตรมาส 3/2552 ปตท.มีกำไรสุทธิ 1.7หมื่นล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 4.4 หมื่นล้านบาท เทียบกับปีที่แล้ว ปตท.มีกำไรสุทธิ 5.1 หมื่นล้านบาท ทำให้มีโอกาสที่ปตท.จะมีกำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปี 2551 เป็นไปได้มาก
กำลังโหลดความคิดเห็น