xs
xsm
sm
md
lg

PTTCHหวั่นวิกฤตสหรัฐฉุดปิโตรขาลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – "วีรศักดิ์" เอ็มดีคนใหม่ ปตท.เคมิคอล หวั่นวิกฤตปัญหาการเงินสหรัฐจะทำให้วัฎจักรราคาปิ
โตรเคมีขาลงเร็วขึ้น ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันมาอยู่ที่ 1300 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็นระดับที่ยังสูง มั่นใจปีนี้โกยรายได้ตามเป้า ส่วนการลงทุนในต่างประเทศจะร่วมทีมกับ ปตท. เน้นการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่ง แย้มสนใจลงทุนที่เวียดนาม เผยปลายปีนี้เตรียมออกหุ้นกู้หมื่นล้านบาท ยอมรับตลาดเงินตึงตัว ดึงอัตราดอกเบี้ยสูง ขณะที่ ปตท.เล็งออกหุ้นกู้ หลังมีความชัดเจนการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTCH)กล่าวภายหลังการแถลงข่าวเปิดตัวกรรมการผู้จัดการคนใหม่ วานนี้ (1 ต.ค.) ว่า ผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯที่ลามไปทั่วโลกนั้น ทำให้บริษัทฯได้รับกระทบบ้าง แต่เนื่องจากสหรัฐฯไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักของบริษัทฯที่มีการส่งออกเม็ดพลาสติกไปสหรัฐฯเพียง 5%ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เพราะตลาดส่งออกหลัก คือ จีน คิดเป็น 20%ของมูลค่าการส่งออก ส่วนใหญ่เน้นส่งออกไปยังประเทศแถบเอเชีย ที่มีอัตราการเติบโตสูง และขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรบ่งชี้ว่าตลาดเอเชียจะหยุดเติบโต
อย่างไรก็ตาม วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯครั้งนี้ อาจจะทำให้วัฎจักรราคาปิโตรเคมีขาลงเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากตลาดสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่ เมื่อเกิดปัญหาก็จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ราคาปิโตรเคมีจะปรับตัวลงปรับตัวในปี 2551 แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากโครงการใหม่จากตะวันออกกลางได้เลื่อนออกไป จึงมีการคาดการณ์ว่าราคาปิโตรเคมีน่าจะอ่อนตัวลงในปี 2552 เนื่องจากมีกำลังผลิตใหม่จากจีนและตัวออกกลางเข้ามา
ปัจจุบัน บริษัทฯมีการส่งออกเม็ดพลาสติก 50%ของกำลังการผลิต ซึ่งบริษัทฯเห็นว่าตลาดสหรัฐฯได้ชะลอตัวมานาน จึงได้หันไปทำตลาดเอเชียแทน และลดการส่งเม็ดพลาสติกไปยังสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาเม็ดพลาสติกได้ปรับตัวลดลงเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันโลก ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 90 กว่าเหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกพีอีอยู่ที่ 1300 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดิมที่เคยสูงถึง 1600-1700 เหรียญสหรัฐ/ตันในช่วงก่อนงานกีฬาโอลิมปิคที่ปักกิ่ง ถึงแม้ว่าราคาเม็ดพลาสติกจะอ่อนตัวลงแต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับอดีต
ดังนั้น ผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 9.97 หมื่นล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกผลประกอบการค่อนข้างดี แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม
สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศ จะเน้นการลงทุนในภูมิภาคนี้ แต่จะระมัดระวังในการลงทุน รวมทั้งต้องเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจเดิมที่มีอยู่ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งการลงทุนต่างประเทศจะหารือร่วมกับปตท.เพื่อไปเป็นทีม หากพบว่าประเทศใดมีศักยภาพการลงทุนด้านปิโตรเคมี ก็จะให้ปตท.เคมิคอลเป็นหัวหอกในการลงทุน ซึ่งรูปแบบการลงทุนจะมีทั้งการสร้างโรงงานใหม่ การซื้อกิจการ หรือการเข้าไปร่วมทุน และปกติ บมจ.ปตท.ในฐานะบริษัทแม่ต้องการให้บริษัทในเครือมีการลงทุนในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 1ใน 4 ของพอร์ตการลงทุน
ขณะนี้ปตท.ได้มีการเปิดสำนักงานขายเม็ดพลาสติกในหลายประเทศทั้งจีน และเวียดนาม โดยจะเปิดอีกที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและดูไบ เพื่อหาตลาดรวมทั้งลู่ทางการลงทุนในอนาคต โดยยอมรับว่าได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนที่เวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีประชากรถึง 90 ล้านคน แต่ไม่มีโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE)เลย แต่ความต้องการใช้พลาสติกขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งในฐานะผู้ผลิตสินค้า ปตท.ได้เข้าไปบุกตลาดแล้ว แต่ในฐานะผู้ผลิตแล้วคงต้องหารือร่วมกับปตท.ต่อไป
อย่างไรก็ตาม งบการลงทุน 5ปีจะใช้เงิน 6.9 หมื่นล้านบาท ยังเป็นไปตามแผนเดิมที่ตั้งไว้ ไม่มีการปรับลดงบแต่อย่างใด โดยการลงทุนของบริษัทฯจะไม่ทำเกินตัว
ที่ผ่านมา บริษัทฯมีศักยภาพในการแข่งขันสูง เนื่องจากเป็นโรงงานผลิตโอเลฟินส์ที่ใช้ก๊าซฯเป็นวัตถุดิบในการผลิตมากกว่าแนฟธา ซึ่งมีราคาสูงกว่า ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ขณะเดียวกันในปลายปีหน้า โครงการผลิตเอทิลีน 1 ล้านตัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LLDPE ขนาด 4 แสนตัน และLDPE 3แสนตันจะแล้วเสร็จ ทำให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 4 หมื่นล้านบาท

*** ออกหุ้นกู้ปลายปีนี้หมื่นล.
นางปนัดดา กนกวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการบัญชีและการเงิน บริษัทปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลบาทวงเงิน 1 หมื่นล้านบาทในปลายปีนี้ ซึ่งขณะนี้ปตท.อยู่ระหว่างการจัดลำดับการออกหุ้นกู้ของบริษัทในเครือปตท.ในปีนี้ โดยพิจารณาจากสภาพตลาดเงินเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันตลาดเงินค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากไม่สามารถระดมทุนในตลาดต่างประเทศได้ ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ค่อนข้างสูง ส่งผลต่อต้นทุนการเงินของบริษัทสูงขึ้นตามไปด้วย
โดยล่าสุด เครือซิเมนต์ไทยได้ออกหุ้นกู้ 2หมื่นล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.35% หากบริษัทฯจะออกหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยคงไม่แตกต่างไปจากนี้ ที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทฯได้อนุมัติการให้บริษัทกู้หรือออกหุ้นกู้วงเงิน 3.2 หมื่นล้านบาท ซึ่ง บริษัทฯได้มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาแล้ว 1 หมื่นล้านบาท และออกหุ้นกู้ 5 พันล้านบาท โดยบริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้หรือกู้ยืมเพิ่มเติมอีก 1.5 หมื่นล้านบาทภายใน 2ปีนี้ เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการดังกล่าวข้างต้น

ปตท.เล็งออกหุ้นกู้
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)เปิดเผยว่า จาก
วิกฤติทางการเงินของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ราคาน้ำมันค่อนข้างผันผวน และคาดว่าราคาน้ำดิบในตลาดโลกจนถึงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 90-100 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ส่วนราคาน้ำมันในตลาดเอเชียน่าจะอยู่ที่ 110-120 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
ปัจจุบันราคาน้ำมันของไทย มีราคาใกล้เคียงกับตลาดในเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อราคาน้ำมันมีการปรับเพิ่มหรือปรับลงลง ผู้ค้าน้ำมันก็จะปรับราคาตามตลาด โดยราคาน้ำมันของไทยจะอ้างอิงกับราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ โดยการขึ้นราคาน้ำมันในแต่ละครั้งจะมีกระทรวงพลังงานเป็นผู้ตรวจสอบเสมอ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นช่วงต้นปี-ปัจจุบัน ทาง ปตท. ชะลอปรับขึ้นราคาน้ำมัน ส่งผลให้ขาดทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วน 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะไม่ขาดทุน โดยปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นหรือปรับลง คือ อัตราค่าเงินบาทและทิศทางราคาน้ำมันของตลาดสิงคโปร์
โดยทาง ปตท. มีแผนจะออกหุ้นกู้มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้ระยะเวลา 5 ปี, 10 ปี ซึ่งกำหนดที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ กลางเดือนตุลาคม 2551 นี้ แต่ต้องรอดูทิศทางผลของการอัดฉีดเงินจำนวน 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐของรัฐบาลสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาก่อน หากการขายหุ้นในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะทยอยให้บริษัทย่อย ของทางปตท. ออกขายหุ้นเช่นเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น