หมดหวังลุ้นน้ำมันลงหลังตลาดโลกพุ่ง แถมรัฐรีดเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งดีเซลและเบนซิน 30 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 23 ส.ค. เพื่อเสริมสภาพคล่อง หลังส่อแววฐานะติดลบ เผยเงินจะไหลเข้ากองทุนเพิ่มเป็น 1,031 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมแค่ 500 ล้านบาทต่อเดือน ผู้ค้าน้ำมันโอดค่าการตลาดเริ่มต่ำ โดยเฉพาะเบนซิน หากสิงคโปร์ปิดตลาดวันที่ 22 ส.ค.ขึ้นแนวโน้มสัปดาห์หน้าขยับสูงโดยเฉพาะเบนซินที่ค่าการตลาดต่ำกว่าบาทต่อลิตร
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทน รมว.พลังงาน วานนี้ (22 ส.ค.)
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซลอีกลิตรละ 30 สตางค์ มีผลตั้งแต่วันนี้ (23 ส.ค.) เป็นต้นไป และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันขายปลีกของไทย เนื่องจากค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ระดับ 2 บาทกว่าต่อลิตร ซึ่งคาดว่า ผู้ค้าน้ำมันคงจะติดตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ในวันที่ 25 ส.ค. ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
สำหรับสาเหตุที่ต้องจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯดังกล่าว เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินเนื่องจากมีภาระหลายด้านและเร็วๆ นี้ หากไม่มีรายได้เพิ่มกองทุนฯจะมีฐานะติดลบ 105 ล้านบาท และผลจากการจัดเก็บ ทำให้กองทุนฯมีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นจากวันละ 17 ล้านบาท เป็นวันละ 34.4 ล้านบาท หรือเท่ากับ 1,031 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายรับเพียงเดือนละ 500 ล้านบาทเท่านั้น โดยเงินที่ได้จะนำไปส่งเสริมพลังงานทดแทนทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล
นายวีระพล กล่าวว่า ผลจากการจัดเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ เบนซิน 95 จาก 3.45 บาทต่อลิตรเป็น 3.75 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 จาก 3 บาทต่อลิตรเป็น 3.30 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซออล์ 95 (อี10) จากเดิมชดเชย 0.25 บาทต่อลิตรเป็น 0.55 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์อี 20 จากเดิมเรียกเก็บ 0.10 บาทต่อลิตรเพิ่มเป็น 0.40 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 1.30 บาทต่อลิตรเป็น 1 บาทต่อลิตร
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. 51 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ (19 ส.ค.51) ราคาอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากช่วงสูงสุดในเดือน ก.ค. 2551 ประมาณ 31 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันเบนซินและดีเซลตลาดสิงคโปร์ (19 ส.ค.51) ราคาอยู่ที่ 112.71 และ 127.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากช่วงสูงสุดเมื่อเดือน ก.ค. 2551 ประมาณ 32 และ 47 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
"ราคาน้ำมันตลาดโลก เริ่มกลับมาผันผวนในระดับสูงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในจอร์เจีย ซึ่งคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ที่อาจจะมีผลต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์สวิงตัวสูงขึ้น ตามน้ำมันดิบตลาดโลก" นายวีระพลกล่าว
รายงานข่าวจากผู้ค้าน้ำมันระบุว่า รัฐมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯช้าไป เนื่องจากควรจะเก็บในช่วง 2-3 วันก่อนที่ค่าตลาดสูงกว่า 2.50 บาทต่อลิตร แต่มาจัดเก็บในช่วงที่ค่าการตลาดเริ่มต่ำเพราะตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้น โดยผลจากการจัดเก็บส่งผลให้ค่าการตลาดผู้ค้าที่มีโรงกลั่นเป็นของตนเอง เบนซินเหลือ 70 สตางค์ต่อลิตร ดีเซล 1.30 บาทต่อลิตรเท่านั้น ดังนั้นหากราคาสิงคโปร์ปิดตลาดวันศุกร์ (22ส.ค.) ปรับขึ้นมาก โอกาสสัปดาห์หน้าราคาขายปลีกจะปรับขึ้นจะมีสูงโดยเฉพาะเบนซิน
นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดขายปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่รัฐได้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้ค่าการตลาดของบริษัทเฉลี่ยประมาณ 60 สตางค์ต่อลิตร เท่านั้น ประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น ราคาขายปลีกคงจะต้องติดตามสัปดาห์หน้าโดยเฉพาะช่วงวันที่ 25-26 ส.ค.ว่าราคาตลาดสิงคโปร์จะไปในทิศทางใดหากยังคงเป็นขาขึ้น โอกาสปรับขึ้นก็จะมีสูงกว่าปรับลด
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ประธานการประชุมแทน รมว.พลังงาน วานนี้ (22 ส.ค.)
ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซลอีกลิตรละ 30 สตางค์ มีผลตั้งแต่วันนี้ (23 ส.ค.) เป็นต้นไป และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันขายปลีกของไทย เนื่องจากค่าการตลาดเฉลี่ยอยู่ระดับ 2 บาทกว่าต่อลิตร ซึ่งคาดว่า ผู้ค้าน้ำมันคงจะติดตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ในวันที่ 25 ส.ค. ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
สำหรับสาเหตุที่ต้องจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯดังกล่าว เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินเนื่องจากมีภาระหลายด้านและเร็วๆ นี้ หากไม่มีรายได้เพิ่มกองทุนฯจะมีฐานะติดลบ 105 ล้านบาท และผลจากการจัดเก็บ ทำให้กองทุนฯมีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นจากวันละ 17 ล้านบาท เป็นวันละ 34.4 ล้านบาท หรือเท่ากับ 1,031 ล้านบาทต่อเดือน จากเดิมมีรายรับเพียงเดือนละ 500 ล้านบาทเท่านั้น โดยเงินที่ได้จะนำไปส่งเสริมพลังงานทดแทนทั้งแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล
นายวีระพล กล่าวว่า ผลจากการจัดเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้ เบนซิน 95 จาก 3.45 บาทต่อลิตรเป็น 3.75 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 จาก 3 บาทต่อลิตรเป็น 3.30 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซออล์ 95 (อี10) จากเดิมชดเชย 0.25 บาทต่อลิตรเป็น 0.55 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์อี 20 จากเดิมเรียกเก็บ 0.10 บาทต่อลิตรเพิ่มเป็น 0.40 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 1.30 บาทต่อลิตรเป็น 1 บาทต่อลิตร
สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. 51 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ (19 ส.ค.51) ราคาอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจากช่วงสูงสุดในเดือน ก.ค. 2551 ประมาณ 31 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันเบนซินและดีเซลตลาดสิงคโปร์ (19 ส.ค.51) ราคาอยู่ที่ 112.71 และ 127.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากช่วงสูงสุดเมื่อเดือน ก.ค. 2551 ประมาณ 32 และ 47 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
"ราคาน้ำมันตลาดโลก เริ่มกลับมาผันผวนในระดับสูงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในจอร์เจีย ซึ่งคงจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ที่อาจจะมีผลต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์สวิงตัวสูงขึ้น ตามน้ำมันดิบตลาดโลก" นายวีระพลกล่าว
รายงานข่าวจากผู้ค้าน้ำมันระบุว่า รัฐมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯช้าไป เนื่องจากควรจะเก็บในช่วง 2-3 วันก่อนที่ค่าตลาดสูงกว่า 2.50 บาทต่อลิตร แต่มาจัดเก็บในช่วงที่ค่าการตลาดเริ่มต่ำเพราะตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้น โดยผลจากการจัดเก็บส่งผลให้ค่าการตลาดผู้ค้าที่มีโรงกลั่นเป็นของตนเอง เบนซินเหลือ 70 สตางค์ต่อลิตร ดีเซล 1.30 บาทต่อลิตรเท่านั้น ดังนั้นหากราคาสิงคโปร์ปิดตลาดวันศุกร์ (22ส.ค.) ปรับขึ้นมาก โอกาสสัปดาห์หน้าราคาขายปลีกจะปรับขึ้นจะมีสูงโดยเฉพาะเบนซิน
นายศัลยา สุคนธทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดขายปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่รัฐได้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้ค่าการตลาดของบริษัทเฉลี่ยประมาณ 60 สตางค์ต่อลิตร เท่านั้น ประกอบกับราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น ราคาขายปลีกคงจะต้องติดตามสัปดาห์หน้าโดยเฉพาะช่วงวันที่ 25-26 ส.ค.ว่าราคาตลาดสิงคโปร์จะไปในทิศทางใดหากยังคงเป็นขาขึ้น โอกาสปรับขึ้นก็จะมีสูงกว่าปรับลด