ASTVผู้จัดการรายวัน - เตรียมรีดภาษีสถานบันเทิง รมช.คลังฮึดสั่งสรรพสามิตเก็บภาษีซานติก้า แถมย้อนหลัง ลั่นผับไนท์คลับดิสโก้เธคโดนด้วย พร้อมปฏิรูประบบไอทีใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ จับตาเด้งอธิบดีกรมสรรพสามิตสังเวย ด้านนายกรัฐมนตรียืนยันขึ้นภาษีน้ำมันไม่กระทบผู้บริโภค ปลัดกระทรวงพลังงานเผยสูตรหากภาษีปรับขึ้น 2 บาท/ลิตร จะใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปตรึงราคา 2 บาท/ลิตร
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า จากปัญหาสถานบริการซานติก้าผับไม่ชำระภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนท์คลับที่มีการเต้นรำ ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเริ่มกระบวนการประเมินภาษีสรรพสามิตสถานบริการแก่ซานติก้าผับแล้ว ซึ่งจะรวมจัดเก็บภาษีย้อนหลังทั้งหมดด้วย และจากนี้ต่อไปผับ ไนท์คลับ ดิสโก้เธค ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และทั่วประเทศที่เข้าข่ายเดียวกับซานติก้าผับจะต้องถูกประเมินภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนต์คลับเช่นซานติก้าทั้งหมด ไม่มียกเว้น และไม่มีข้ออ้างสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาจัดเก็บรายได้ดังกล่าวต่อไป
"เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการประเมิน อีกไม่นานก็จะเริ่มเก็บได้ทันที ไม่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายแต่อย่างใด ถือเป็นอำนาจอธิบดีจะปฏิบัติ แต่ตัวเลขที่จะจัดเก็บยังระบุไม่ได้ เพราะต้องพิจารณาย้อนหลังไปถึงรายได้ที่ซานติก้ามีจากนั้นจึงจะนำมาคำนวณพร้อมค่าปรับทั้งหมด ซึ่งผมจะเร่งให้เรื่องนี้อย่างรวดเร็วเพราะล่าช้าและไม่เข้าใจตรงกันมาเนิ่นนาน" นพ.พฤฒิชัย กล่าวและว่า ในพื้นที่ต่างจังหวัดพบว่ามีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนท์คลับแบบเดียวกันนี้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพสามิตมีความเข้าใจไม่ตรงกันหลายเรื่องในการจัดเก็บภาษี อีกทั้งรูปแบบการจัดเก็บล้าหลังจนนำมาสู่การไม่มีอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในหลายรายการสินค้า เกิดจากระบบเทคโนโลยีของกรมที่ยังอยู่ในระบบเก่า จึงเตรียมจะเสนอแผนปฏิรูประบบเทคโนโลยีทั้งระบบพร้อมไปกับการอบรมบุคลากรให้มีความรู้การจัดเก็บเท่าทันกับภาคเอกชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรวมถึงรายได้เข้ารัฐมากขึ้น
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารกรมสรรพสามิตไม่ใส่ใจที่จะทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่เพื่อวางระเบียบหลักเกณฑ์การเก็บภาษีสถานบริการให้เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะไม่มีความกระตือรือล้นในการจัดเก็บภาษีซานติก้าผับ ทำให้รัฐเกิดความเสียหายทั้งๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะขณะนี้รายจ่ายสูงกว่ารายได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 52 ปรากฎว่าต่ำกว่าเป้าหมาย 3.3 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 21.7% จึงมีกระแสข่าวว่าเรื่องดังกล่าว ส่งผลต่อตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตคนปัจจุบันคือนางสิรินุช พิศลยบุตร
นอกจากนี้ ในการขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตครั้งล่าสุด หากพิจารณารายละเอียดจะพบว่ามีการขึ้นภาษีไม่เต็มเพดานจริง โดยคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 พ.ค.52 มีมติให้เก็บภาษีสรรพสามิตสุราของเบียร์จาก 55% เป็น 58% เหล้าขาวจาก 110 เป็น 120 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ศูนย์วิจัยปัญหาสุราระบุว่า อัตราดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายตามท้องตลาดของเบียร์ขึ้น 4-5 บาทต่อขวด หรือเพิ่มขึ้น 10% ส่วนเหล้าขาวขึ้น 2.5 บาทต่อขวด เพิ่มขึ้น 3% ทั้งๆ ที่เบียร์สามารถขึ้นภาษีไปได้เต็มเพดานที่อัตรา 60% ซึ่งได้ภาษีเพิ่มขึ้น 7-9 บาทต่อขวด ราคาขายเพิ่มขึ้น 20% ส่วนสุราขาวสามารถขึ้นไปที่อัตรา 200 บาทต่อลิตร จะได้ภาษีเพิ่ม 22.50 บาทต่อขวด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้น 28% ได้ภาษี 23,000 ล้านบาท แทนที่จะได้เพียง 6,000 ล้านบาท
**ขึ้นภาษีน้ำมันไม่กระทบผู้บริโภค
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมออกพระราชกำหนด เพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันว่า ขอยืนยันว่าเราได้ขอกระทรวงงพลังงาน โดยอาศัยกองทุนน้ำมัน ว่า การขึ้นภาษีจะไม่กระทบราคาน้ำมันหน้าปั้ม เพราะฉะนั้นทางกระทรวงพลังงานได้มีการประชุมกองทุนน้ำมันไปแล้ว และจะดูแลเรื่องนี้
เมื่อถามว่า มีข่าวว่า จะขึ้นภาษีถึง 10 บาท นายกฯ กล่าวว่า ต้องแยกการขยับเพดาน กับการจัดเก็บจริง และขอยืนยันว่า ถ้ามีมาตรการจัดการภาษีน้ำมันเติมเพิ่ม จะไม่ให้ส่งผลกระทบถึงผู้บริโภค เพราะจะมีการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันอยู่
**เปิดแนวทางหลังปรับภาษีน้ำมัน
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางที่เตรียมไว้หลังจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้น คือการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปตรึงราคาแทนประชาชนไว้ก่อนเท่ากับภาษีที่ปรับขึ้น หากภาษีปรับขึ้น 2 บาท/ลิตร จะใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปตรึงราคา 2 บาท/ลิตร วิธีการนี้จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกอยู่ในระดับเดิม ไม่ปรับขึ้นตามอัตราภาษี หลังจากนั้นจะเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงที่ราคาน้ำมันขาลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มปรับสูงขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะมีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า สนพ.เตรียมประกาศลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันไว้แล้ว หากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้นจะประกาศลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันทันที เพื่อไม่ให้ราคาคาหน้าปั๊มเปลี่ยนแปลง โดยประเมินว่าการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในครั้งนี้จะใช้เงินเข้าไปตรึงราคาให้กับประชาชนในช่วง 1 เดือน ประมาณ 5,300 ล้านบาทแต่หากใน 1 เดือนนี้ ไม่มีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯอาจจะยืดเวลาออกไปอีก 2-3 เดือน ก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯมีเงินสดสุทธิเหลืออยู่ถึง 15,000 ล้านบาท สามารถเข้ามาดูแลราคาน้ำมันหลังภาษีปรับขึ้นได้ถึง 10 เดือน
ทั้งนี้ตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นไปแล้วถึง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหลักการที่กระทรวงพลังงานเตรียมไว้ คือจะไม่ให้การขึ้นภาษีกระทบกับราคาน้ำมันขายปลีก หากน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จะยืดเวลาการเก็บคืนภาษีออกไป ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ คงต้องนำเงินที่มีเหลืออยู่ 5,000 ล้านบาทมาใช้จนหมด แต่โอกาสนี้น้อยมากเพราะราคาน้ำมันมีขึ้นมีลง คงจะไม่ปรับขึ้นตลอดเวลา
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า จากปัญหาสถานบริการซานติก้าผับไม่ชำระภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนท์คลับที่มีการเต้นรำ ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเริ่มกระบวนการประเมินภาษีสรรพสามิตสถานบริการแก่ซานติก้าผับแล้ว ซึ่งจะรวมจัดเก็บภาษีย้อนหลังทั้งหมดด้วย และจากนี้ต่อไปผับ ไนท์คลับ ดิสโก้เธค ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และทั่วประเทศที่เข้าข่ายเดียวกับซานติก้าผับจะต้องถูกประเมินภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนต์คลับเช่นซานติก้าทั้งหมด ไม่มียกเว้น และไม่มีข้ออ้างสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาจัดเก็บรายได้ดังกล่าวต่อไป
"เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการประเมิน อีกไม่นานก็จะเริ่มเก็บได้ทันที ไม่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายแต่อย่างใด ถือเป็นอำนาจอธิบดีจะปฏิบัติ แต่ตัวเลขที่จะจัดเก็บยังระบุไม่ได้ เพราะต้องพิจารณาย้อนหลังไปถึงรายได้ที่ซานติก้ามีจากนั้นจึงจะนำมาคำนวณพร้อมค่าปรับทั้งหมด ซึ่งผมจะเร่งให้เรื่องนี้อย่างรวดเร็วเพราะล่าช้าและไม่เข้าใจตรงกันมาเนิ่นนาน" นพ.พฤฒิชัย กล่าวและว่า ในพื้นที่ต่างจังหวัดพบว่ามีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสถานบริการที่เป็นไนท์คลับแบบเดียวกันนี้มานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้กรมสรรพสามิตมีความเข้าใจไม่ตรงกันหลายเรื่องในการจัดเก็บภาษี อีกทั้งรูปแบบการจัดเก็บล้าหลังจนนำมาสู่การไม่มีอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในหลายรายการสินค้า เกิดจากระบบเทคโนโลยีของกรมที่ยังอยู่ในระบบเก่า จึงเตรียมจะเสนอแผนปฏิรูประบบเทคโนโลยีทั้งระบบพร้อมไปกับการอบรมบุคลากรให้มีความรู้การจัดเก็บเท่าทันกับภาคเอกชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรวมถึงรายได้เข้ารัฐมากขึ้น
แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาผู้บริหารกรมสรรพสามิตไม่ใส่ใจที่จะทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่เพื่อวางระเบียบหลักเกณฑ์การเก็บภาษีสถานบริการให้เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะไม่มีความกระตือรือล้นในการจัดเก็บภาษีซานติก้าผับ ทำให้รัฐเกิดความเสียหายทั้งๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะขณะนี้รายจ่ายสูงกว่ารายได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 52 ปรากฎว่าต่ำกว่าเป้าหมาย 3.3 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 21.7% จึงมีกระแสข่าวว่าเรื่องดังกล่าว ส่งผลต่อตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตคนปัจจุบันคือนางสิรินุช พิศลยบุตร
นอกจากนี้ ในการขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตครั้งล่าสุด หากพิจารณารายละเอียดจะพบว่ามีการขึ้นภาษีไม่เต็มเพดานจริง โดยคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 พ.ค.52 มีมติให้เก็บภาษีสรรพสามิตสุราของเบียร์จาก 55% เป็น 58% เหล้าขาวจาก 110 เป็น 120 บาทต่อลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ศูนย์วิจัยปัญหาสุราระบุว่า อัตราดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายตามท้องตลาดของเบียร์ขึ้น 4-5 บาทต่อขวด หรือเพิ่มขึ้น 10% ส่วนเหล้าขาวขึ้น 2.5 บาทต่อขวด เพิ่มขึ้น 3% ทั้งๆ ที่เบียร์สามารถขึ้นภาษีไปได้เต็มเพดานที่อัตรา 60% ซึ่งได้ภาษีเพิ่มขึ้น 7-9 บาทต่อขวด ราคาขายเพิ่มขึ้น 20% ส่วนสุราขาวสามารถขึ้นไปที่อัตรา 200 บาทต่อลิตร จะได้ภาษีเพิ่ม 22.50 บาทต่อขวด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายเพิ่มขึ้น 28% ได้ภาษี 23,000 ล้านบาท แทนที่จะได้เพียง 6,000 ล้านบาท
**ขึ้นภาษีน้ำมันไม่กระทบผู้บริโภค
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมออกพระราชกำหนด เพิ่มเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันว่า ขอยืนยันว่าเราได้ขอกระทรวงงพลังงาน โดยอาศัยกองทุนน้ำมัน ว่า การขึ้นภาษีจะไม่กระทบราคาน้ำมันหน้าปั้ม เพราะฉะนั้นทางกระทรวงพลังงานได้มีการประชุมกองทุนน้ำมันไปแล้ว และจะดูแลเรื่องนี้
เมื่อถามว่า มีข่าวว่า จะขึ้นภาษีถึง 10 บาท นายกฯ กล่าวว่า ต้องแยกการขยับเพดาน กับการจัดเก็บจริง และขอยืนยันว่า ถ้ามีมาตรการจัดการภาษีน้ำมันเติมเพิ่ม จะไม่ให้ส่งผลกระทบถึงผู้บริโภค เพราะจะมีการใช้กลไกของกองทุนน้ำมันอยู่
**เปิดแนวทางหลังปรับภาษีน้ำมัน
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางที่เตรียมไว้หลังจากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้น คือการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปตรึงราคาแทนประชาชนไว้ก่อนเท่ากับภาษีที่ปรับขึ้น หากภาษีปรับขึ้น 2 บาท/ลิตร จะใช้กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปตรึงราคา 2 บาท/ลิตร วิธีการนี้จะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกอยู่ในระดับเดิม ไม่ปรับขึ้นตามอัตราภาษี หลังจากนั้นจะเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในช่วงที่ราคาน้ำมันขาลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ราคาน้ำมันตลาดโลกเริ่มปรับสูงขึ้น แต่ก็เชื่อว่าจะมีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า สนพ.เตรียมประกาศลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันไว้แล้ว หากภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับขึ้นจะประกาศลดเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันทันที เพื่อไม่ให้ราคาคาหน้าปั๊มเปลี่ยนแปลง โดยประเมินว่าการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในครั้งนี้จะใช้เงินเข้าไปตรึงราคาให้กับประชาชนในช่วง 1 เดือน ประมาณ 5,300 ล้านบาทแต่หากใน 1 เดือนนี้ ไม่มีจังหวะในการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯอาจจะยืดเวลาออกไปอีก 2-3 เดือน ก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯมีเงินสดสุทธิเหลืออยู่ถึง 15,000 ล้านบาท สามารถเข้ามาดูแลราคาน้ำมันหลังภาษีปรับขึ้นได้ถึง 10 เดือน
ทั้งนี้ตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับขึ้นไปแล้วถึง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหลักการที่กระทรวงพลังงานเตรียมไว้ คือจะไม่ให้การขึ้นภาษีกระทบกับราคาน้ำมันขายปลีก หากน้ำมันยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จะยืดเวลาการเก็บคืนภาษีออกไป ถ้าโชคไม่ดีจริงๆ คงต้องนำเงินที่มีเหลืออยู่ 5,000 ล้านบาทมาใช้จนหมด แต่โอกาสนี้น้อยมากเพราะราคาน้ำมันมีขึ้นมีลง คงจะไม่ปรับขึ้นตลอดเวลา