เอเอฟพี – ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวยอมรับในวันอังคาร (3) ว่า “ผมผิดเอง” หลังจากที่ทอม แดสเชิล ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ต้องประกาศถอนตัว เนื่องจากมีข้อบกพร่องเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการค้างชำระภาษีส่วนบุคคล และก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แนนซี คิลเลเฟอร์ ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าดูแลการใช้จ่ายงบประมาณประจำทำเนียบขาว ก็เพิ่งถอนตัวไปเนื่องจากมีข้อบกพร่องในเรื่องการชำระภาษีเช่นกัน
การตัดสินใจถอนตัวของบุคคลทั้งสอง นอกจากจะทำให้โอบามาต้องสูญเสียมือดีที่เขาไว้วางใจและเป็นผู้เสนอชื่อให้รับตำแหน่งสำคัญทั้งสองตำแหน่งด้วยตนเองแล้ว เรื่องดังกล่าวยังกลายมาเป็นระเบิดคู่ ที่เบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของสื่อมวลชนไปด้วย ทั้งๆ ที่โอบามาตั้งใจจะหาทางกดดันวุฒิสมาชิกให้ยอมลงมติผ่านความเห็นชอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬารของเขา แต่เขากลับต้องมาคอยตอบคำถามในเรื่องจริยธรรมของรัฐบาลแทน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโอบามาเคยให้คำมั่นว่าจะนำพารัฐบาลชุดใหม่ให้เป็นรัฐบาลที่มีจริยธรรม เขาจึงเหมือนติดกับดักทางการเมืองของตนเองไปโดยปริยาย และอาจนับเป็นวันโชคร้ายที่สุดสำหรับเขานับจากที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ด้วย
“ผมไม่ต้องการสื่อสารให้ชาวอเมริกันเห็นว่าเรามีมาตรฐานสองแบบ แบบหนึ่งสำหรับคนมีอำนาจ และอีกแบบหนึ่งสำหรับคนเดินถนนทั่วไปที่ทำงานทุกวันๆ และชำระภาษีของตัวเองครบถ้วน” โอบามาให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น และเสริมว่า “ผมคิดว่านี่เป็นความผิดพลาด และผมเป็นคนผิดเอง แต่รู้มั้ย ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้ และเรากำลังจะแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
ก่อนหน้านี้ โอบามากล่าวว่าเขายอมรับการตัดสินใจของแดสเชิลแม้จะรู้สึกเสียใจ ที่แดสเชิลซึ่งเคยเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ต้องถอนตัวไป เนื่องจากมีข่าวว่าเขาเพิ่งไปชำระภาษีย้อนหลังจำนวน 128,000 ดอลลาร์ พร้อมดอกเบี้ยราว 12,000 ดอลลาร์
ส่วนแดสเชิลก็กล่าวว่าเขาไม่ต้องการเป็นตัวขัดขวางแผนการอันยิ่งใหญ่ของโอบามาที่จะปฏิรูประบบการรักษาพยาบาลของสหรัฐฯ เช่นกัน แม้ว่าเพื่อนที่เคยเป็นวุฒิสมาชิกอีกหลายคนจะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวจะผ่านพ้นไป และเขาน่าจะได้รับความเห็นชอบจากสภาได้
ด้านทำเนียบขาวปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องนี้ รวมทั้งแดสเชิลก็ไม่ได้ถูกกดดันให้ถอนตัวด้วย รอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาว ยืนยันว่า “วุฒิสมาชิกแดสเชิลเป็นผู้ตัดสินใจขอถอนตัวจากตำแหน่งเอง”
ก่อนหน้าที่แดสเชิลจะถอนตัวจากตำแหน่งว่าที่เจ้ากระทรวงสาธารณสุขนั้น คิลเลเฟอร์ ซึ่งเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งในทีมงานของโอบามา และได้รับการวางตัวให้ขึ้นนั่งตำแหน่งใหม่เอี่ยม นั่นคือหัวหน้าผู้ดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ ก็เพิ่งถอนตัวออกไปเช่นกันเนื่องจากมีรายงานว่าเธอไม่ได้ชำระภาษีชดเชยการว่างงานให้กับคนดูแลบ้านของเธอ
นอกจากนั้น ยังมีกรณีของทิม ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลัง ทว่าเขาสามารถสะสางข้อกล่าวหาเรื่องไม่ชำระภาษีในสมัยที่ทำงานกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้สำเร็จ จนได้รับการอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งจากวุฒิสภา และเพิ่งเข้าสาบานตนนั่งเก้าอี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม โอบามาก็ยังพยายามที่จะมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเศรษฐกิจ และล่าสุดเขาก็เพิ่งแต่งตั้งวุฒิสมาชิกจัดด์ เกร็กจากพรรครีพับลิกันให้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
“เศรษฐกิจของเรากำลังหดตัว จำนวนคนตกงานมีแต่จะเพิ่มขึ้น ธุรกิจและประชาชนไม่สามารถขอกู้เงินจากธนาคาร ธุรกิจขนาดย่อมไม่สามารถหาเงินมาสร้างงานและนำสินค้าออกสู่ตลาด ในเมื่อมีเดิมพันสูงมากขนาดนี้ เราไม่สามารถที่จะเสียเวลากับการหลงไปติดกับของการแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบเดิมได้อีก” โอบามากล่าว
อนึ่ง ผลสำรวจความคิดเห็นของแกลลัพระบุว่ามีผู้ถูกสำรวจ 38 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา 37 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้มี “การปรับเปลี่ยนขนานใหญ่” และ 17 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าควรคว่ำแผนดังกล่าวนี้
การตัดสินใจถอนตัวของบุคคลทั้งสอง นอกจากจะทำให้โอบามาต้องสูญเสียมือดีที่เขาไว้วางใจและเป็นผู้เสนอชื่อให้รับตำแหน่งสำคัญทั้งสองตำแหน่งด้วยตนเองแล้ว เรื่องดังกล่าวยังกลายมาเป็นระเบิดคู่ ที่เบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของสื่อมวลชนไปด้วย ทั้งๆ ที่โอบามาตั้งใจจะหาทางกดดันวุฒิสมาชิกให้ยอมลงมติผ่านความเห็นชอบแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬารของเขา แต่เขากลับต้องมาคอยตอบคำถามในเรื่องจริยธรรมของรัฐบาลแทน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโอบามาเคยให้คำมั่นว่าจะนำพารัฐบาลชุดใหม่ให้เป็นรัฐบาลที่มีจริยธรรม เขาจึงเหมือนติดกับดักทางการเมืองของตนเองไปโดยปริยาย และอาจนับเป็นวันโชคร้ายที่สุดสำหรับเขานับจากที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ด้วย
“ผมไม่ต้องการสื่อสารให้ชาวอเมริกันเห็นว่าเรามีมาตรฐานสองแบบ แบบหนึ่งสำหรับคนมีอำนาจ และอีกแบบหนึ่งสำหรับคนเดินถนนทั่วไปที่ทำงานทุกวันๆ และชำระภาษีของตัวเองครบถ้วน” โอบามาให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น และเสริมว่า “ผมคิดว่านี่เป็นความผิดพลาด และผมเป็นคนผิดเอง แต่รู้มั้ย ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้ และเรากำลังจะแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก”
ก่อนหน้านี้ โอบามากล่าวว่าเขายอมรับการตัดสินใจของแดสเชิลแม้จะรู้สึกเสียใจ ที่แดสเชิลซึ่งเคยเป็นผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ต้องถอนตัวไป เนื่องจากมีข่าวว่าเขาเพิ่งไปชำระภาษีย้อนหลังจำนวน 128,000 ดอลลาร์ พร้อมดอกเบี้ยราว 12,000 ดอลลาร์
ส่วนแดสเชิลก็กล่าวว่าเขาไม่ต้องการเป็นตัวขัดขวางแผนการอันยิ่งใหญ่ของโอบามาที่จะปฏิรูประบบการรักษาพยาบาลของสหรัฐฯ เช่นกัน แม้ว่าเพื่อนที่เคยเป็นวุฒิสมาชิกอีกหลายคนจะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวจะผ่านพ้นไป และเขาน่าจะได้รับความเห็นชอบจากสภาได้
ด้านทำเนียบขาวปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเรื่องนี้ รวมทั้งแดสเชิลก็ไม่ได้ถูกกดดันให้ถอนตัวด้วย รอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาว ยืนยันว่า “วุฒิสมาชิกแดสเชิลเป็นผู้ตัดสินใจขอถอนตัวจากตำแหน่งเอง”
ก่อนหน้าที่แดสเชิลจะถอนตัวจากตำแหน่งว่าที่เจ้ากระทรวงสาธารณสุขนั้น คิลเลเฟอร์ ซึ่งเป็นคนสำคัญอีกคนหนึ่งในทีมงานของโอบามา และได้รับการวางตัวให้ขึ้นนั่งตำแหน่งใหม่เอี่ยม นั่นคือหัวหน้าผู้ดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ ก็เพิ่งถอนตัวออกไปเช่นกันเนื่องจากมีรายงานว่าเธอไม่ได้ชำระภาษีชดเชยการว่างงานให้กับคนดูแลบ้านของเธอ
นอกจากนั้น ยังมีกรณีของทิม ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลัง ทว่าเขาสามารถสะสางข้อกล่าวหาเรื่องไม่ชำระภาษีในสมัยที่ทำงานกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้สำเร็จ จนได้รับการอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งจากวุฒิสภา และเพิ่งเข้าสาบานตนนั่งเก้าอี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม โอบามาก็ยังพยายามที่จะมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเศรษฐกิจ และล่าสุดเขาก็เพิ่งแต่งตั้งวุฒิสมาชิกจัดด์ เกร็กจากพรรครีพับลิกันให้เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
“เศรษฐกิจของเรากำลังหดตัว จำนวนคนตกงานมีแต่จะเพิ่มขึ้น ธุรกิจและประชาชนไม่สามารถขอกู้เงินจากธนาคาร ธุรกิจขนาดย่อมไม่สามารถหาเงินมาสร้างงานและนำสินค้าออกสู่ตลาด ในเมื่อมีเดิมพันสูงมากขนาดนี้ เราไม่สามารถที่จะเสียเวลากับการหลงไปติดกับของการแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบเดิมได้อีก” โอบามากล่าว
อนึ่ง ผลสำรวจความคิดเห็นของแกลลัพระบุว่ามีผู้ถูกสำรวจ 38 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา 37 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้มี “การปรับเปลี่ยนขนานใหญ่” และ 17 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าควรคว่ำแผนดังกล่าวนี้