ASTVผู้จัดการรายวัน-นายกสมาคมบลจ.ปลื้มอุตสหกรรมกองทุนรวมโตสวนเศรษฐกิจ ประเดิม 4 เดือนแรกขยายตัวแล้วกว่า 10% เหตุดอกเบี้ยต่ำนักลงทุนหันให้ความสนใจเพิ่มผลตอบแทนด้วยกองทุนรวมมากขึ้น ขณะเดียวกันคาดไตรมาส 2 ปีนี้จะมีกาาขยายตัวเพิ่มได้อีกเช่นเดียวกันช่วงแรกของปี ระบุการกู้เงิน 8 แสนล้านบาทของกระทรวงคลังเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และน่่าจะเป็นผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตได้
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 ถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นแล้วถึงกว่า 10% ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำมากทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงน้อยแต่ผลตอบแทนสูงมากขึ้น
“เหตุที่กองทุนรวมยังเติบโต อาจเป็นเพราะมีช่องทางการลงทุนที่ยังดึงดูดให้ลูกค้าซื้อลงทุนได้ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศอยู่ระดับต่ำ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำมากยังให้ผลตอบแทนดีกว่า ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุน”นางวรวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมกองทุนรวมในไตรมาส 2 น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก หากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ระดับนี้และหากกองทุนรวมยังมีประเภทกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากอยู่ ก็น่าจะทำให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมขยายตัวได้อีก เพราะการขยายตัวต้องคำนึงถึงดีมานด์ของนักลงทุนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะมีกองทุนดีๆ มาให้เลือกแต่นักลงทุนไม่ต้องการ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังสูงกองทุนรวมก็ขยายตัวไม่ได้เช่นกัน
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นกู้เอกชนยังเป็นอีกช่องทางลงทุน เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 1% ขณะที่หุ้นกู้ 1 ปี ให้ 3% แต่ต้องดูเรื่องของอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารประกอบด้วย เพราะผลตอบแทนที่สูงก็ต้องมีความเสี่ยงที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่มีอันดับเครดิตดีกว่า ดังนั้นนักลงทุนจะต้องพิจารณาให้ตรงกับความเสี่ยงที่รับได้
“มันต้องดูที่สเปรดว่ามันจะกว้างเท่าไร ซึ่งหุ้นกู้ดีๆ มันก็จะไม่กว้างมากแต่ถ้าเรตติ้งต่ำลงมาส่วนต่างตรงนี้เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลในช่วงอายุเท่ากันก็ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพราะความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ยิลด์มันเท่ากัน นักลงทุนคงไม่ลงทุนมันเป็นเรื่องธรรมดา”นางวรวรรณกล่าว
สำหรับกรณีที่รัฐบาลจะระดมทุนในประเทศ อาจมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยบรรเทาคนเงินฝากที่อยู่ระดับต่ำได้ เพราะคงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และอาจมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้ระยะยาว ตั๋วเงินคลัง โดยมองว่าเป็นเรื่องดีทำให้การลงทุนในไทยเพิ่ม ดีกว่าปล่อยให้เงินออกนอกประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการที่รัฐบาลประกาศออกมาโดยไม่มีการกู้หนี้เกินอัตราต่อจีดีพี จำนวนกว่า 8 แสนล้านบาทนั้นน่าจะเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้แต่นักลงทุนได้ โดยวิธีที่นำมาใช้คือการลดงบประมาณในส่วนที่จำเป็นน้อยหรือไม่สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2552 ออกไปก่อนถือเป็นทางออกที่ดีอีกด้วย
“อย่าเซาเทริน์ซีบอร์ดที่ยังทำไม่ทันเข้าก็เลื่อนออกไปนับเป็นเรื่องดีที่เอาแต่โครงการที่จำเป็นและทำได้เอาไว้ก่อน อย่างโครงการน้ำตอนแรกคิดว่าจะมองข้ามแต่เขาก็นำเอามาทำ ซึ่งโครงการนี้ส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นเรื่องที่ดีและจะส่งผลไปในทุกระดับ โดยเชื่อว่าถึงจะไม่ใช่รัฐบาลนี้และเป็นรัฐบาลอื่นก็น่าจะมีการทำโครงการสานต่อไป”นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงทีผ่านมานั้น อาจเกิดจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจโลก และการเมืองภายในประเทศบางแล้ว และเชื่ อว่าน่าจะสามารถปรับตัวได้อีกหลังจากนี้
“การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานหรือย่อลง ไม่ใช่ลงแบบตัว L ที่ดิ่งตลอด ทำให้คนมีความหวังและมีโอกาสเสมอสำหรับคนมีเงินสด”นางวรวรรณ กล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 ถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอุตสาหกรรมกองทุนรวมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นแล้วถึงกว่า 10% ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำมากทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงน้อยแต่ผลตอบแทนสูงมากขึ้น
“เหตุที่กองทุนรวมยังเติบโต อาจเป็นเพราะมีช่องทางการลงทุนที่ยังดึงดูดให้ลูกค้าซื้อลงทุนได้ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศอยู่ระดับต่ำ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำมากยังให้ผลตอบแทนดีกว่า ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุน”นางวรวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมกองทุนรวมในไตรมาส 2 น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก หากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ระดับนี้และหากกองทุนรวมยังมีประเภทกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากอยู่ ก็น่าจะทำให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมขยายตัวได้อีก เพราะการขยายตัวต้องคำนึงถึงดีมานด์ของนักลงทุนด้วย ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะมีกองทุนดีๆ มาให้เลือกแต่นักลงทุนไม่ต้องการ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังสูงกองทุนรวมก็ขยายตัวไม่ได้เช่นกัน
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับหุ้นกู้เอกชนยังเป็นอีกช่องทางลงทุน เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 1% ขณะที่หุ้นกู้ 1 ปี ให้ 3% แต่ต้องดูเรื่องของอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารประกอบด้วย เพราะผลตอบแทนที่สูงก็ต้องมีความเสี่ยงที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่มีอันดับเครดิตดีกว่า ดังนั้นนักลงทุนจะต้องพิจารณาให้ตรงกับความเสี่ยงที่รับได้
“มันต้องดูที่สเปรดว่ามันจะกว้างเท่าไร ซึ่งหุ้นกู้ดีๆ มันก็จะไม่กว้างมากแต่ถ้าเรตติ้งต่ำลงมาส่วนต่างตรงนี้เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลในช่วงอายุเท่ากันก็ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพราะความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ยิลด์มันเท่ากัน นักลงทุนคงไม่ลงทุนมันเป็นเรื่องธรรมดา”นางวรวรรณกล่าว
สำหรับกรณีที่รัฐบาลจะระดมทุนในประเทศ อาจมีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยบรรเทาคนเงินฝากที่อยู่ระดับต่ำได้ เพราะคงให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า และอาจมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้ระยะยาว ตั๋วเงินคลัง โดยมองว่าเป็นเรื่องดีทำให้การลงทุนในไทยเพิ่ม ดีกว่าปล่อยให้เงินออกนอกประเทศ
ทั้งนี้ มาตรการที่รัฐบาลประกาศออกมาโดยไม่มีการกู้หนี้เกินอัตราต่อจีดีพี จำนวนกว่า 8 แสนล้านบาทนั้นน่าจะเป็นตัวสร้างความเชื่อมั่นให้แต่นักลงทุนได้ โดยวิธีที่นำมาใช้คือการลดงบประมาณในส่วนที่จำเป็นน้อยหรือไม่สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2552 ออกไปก่อนถือเป็นทางออกที่ดีอีกด้วย
“อย่าเซาเทริน์ซีบอร์ดที่ยังทำไม่ทันเข้าก็เลื่อนออกไปนับเป็นเรื่องดีที่เอาแต่โครงการที่จำเป็นและทำได้เอาไว้ก่อน อย่างโครงการน้ำตอนแรกคิดว่าจะมองข้ามแต่เขาก็นำเอามาทำ ซึ่งโครงการนี้ส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นเรื่องที่ดีและจะส่งผลไปในทุกระดับ โดยเชื่อว่าถึงจะไม่ใช่รัฐบาลนี้และเป็นรัฐบาลอื่นก็น่าจะมีการทำโครงการสานต่อไป”นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงทีผ่านมานั้น อาจเกิดจากการที่นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจโลก และการเมืองภายในประเทศบางแล้ว และเชื่ อว่าน่าจะสามารถปรับตัวได้อีกหลังจากนี้
“การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานหรือย่อลง ไม่ใช่ลงแบบตัว L ที่ดิ่งตลอด ทำให้คนมีความหวังและมีโอกาสเสมอสำหรับคนมีเงินสด”นางวรวรรณ กล่าว