บทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่ลงตีพิมพ์ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ในเนชั่นสุดสัปดาห์ หน้าปกเป็นภาพคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และถูกนำไปออกอากาศเป็นครั้งแรก ทางเอเอสทีวี ในวันเดียวกันเมื่อ เวลา 20.30 น. มีหลายห้วงหลายตอนที่คุณสนธิได้แสดงทัศนวิสัยที่น่าสนใจ การให้สัมภาษณ์ยาวเป็นชั่วโมงกับ แคน สาริกา บรรณาธิการบริหาร เนชั่นสุดสัปดาห์ วันนั้นอาจเรียกว่าได้ เนื้อหาการให้สัมภาษณ์สามารถเก็บประเด็นสำคัญที่วนเวียนอยู่ในสังคมบ้านเราตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ได้ครบหมดทุกประการ และเนื้อหาก็ยังทันสมัยอยู่ตลอด แม้จะหวนกลับไปอ่านซ้ำอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านพ้นมาร่วมอาทิตย์
คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ชายที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ใครๆ เรียกขานเขาว่าเป็น พ่อหมอ เพราะพูดเหมือนทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เสมอ และต่อมาวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม คุณสนธิ ก็เลือกที่จะออกมาแถลงข่าวอีกครั้งในเวลา 12.30 น. เป็นการแถลงข่าวในวันเดียวกับที่สหประชาชาติต้องการให้ทั่วทั้งโลกระลึกถึงความสำคัญของ “เสรีภาพสื่อมวลชน” ที่ธีมหลักปีนี้ นอกจากจะต้องการให้สื่อทำหน้าที่สร้างสันติภาพ และความสมานฉันท์ แต่ก็เน้นย้ำอยู่เสมอว่า การตรวจสอบทุจริตประพฤติมิชอบของกลุ่มผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง ก็เป็นภารกิจที่สื่อมวลชนมิอาจจะละเลยได้
ขณะที่องค์การเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารมวลชนทั่วโลกประสานเสียง ออกรายงานชี้ว่า รอบปีที่แล้วดัชนีชี้วัดเสรีภาพสื่อทั่วโลกมีแนวโน้มเสื่อมถอยลงทั้งหมด ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในเมืองไทย อ้างคำแถลงของคุณสนธิ พาดหัวข่าวตัวไม้ว่า “ทหารอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารสนธิ” สื่อมวลชนที่มีบทบาทโดดเด่นในการเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายของผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง นับเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญ หลังผู้พูดได้เคยอธิบายไว้ชัดแจ้งแล้วในการให้สัมภาษณ์กับ แคน สาริกา ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วันว่า
“...ผมถูกยิงเลือดตกบนพื้นดิน แต่ผมปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกยิงโดยคนที่ควรจะไปปกป้องในสิ่งเดียวที่ผมปกป้อง ที่น่าเสียใจที่สุดเสียใจตรงนี้...”
การให้สัมภาษณ์ของคุณสนธิ เกิดขึ้นหลังเพิ่งผ่านพ้นการผ่าตัดสมองไปได้ไม่กี่วัน แต่กลับกลายเป็นการสัมภาษณ์ครั้งหฤโหดที่ผู้ให้สัมภาษณ์ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น ตั้งใจจะลำดับความเป็นมาทางการเมือง วิเคราะห์ออกมาเป็นฉากๆ ภายใต้การแบ่งยุคการเมืองออกมาเป็นยุคทักษิณกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ตั้งสมมติฐานบนพื้นฐานของประเทศที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ดีมีจริยธรรมแต่กลับไม่ได้ // ยุค คมช.ที่ใช้เวลาหนึ่งปีหมดไปกับคำนิยามที่ว่า “สมบัติผลัดกันชม” // และยุครัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ที่มีกองทัพเอาปืนจี้หลัง เพื่อให้นำชาติกลับสู่ภาวะการเมืองเก่า 100 เปอร์เซ็นต์
การลอบสังหารคุณสนธิจึงเหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว กล่าวคือ ปิดฉากการเมืองใหม่ที่พวกเขาหวาดกลัวนักหนา ปิดปากสื่อมวลชน ปลิดชีวิตนักเคลื่อนไหวเพื่อมวลชน ปิดประตูที่จะเป็นทางเลือกอื่น สำหรับนายกฯ ในกำมืออย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อย่าลืมว่า คุกคามคุณสนธิ = คุกคามสื่อ = คุกคามประชาชน และขณะเดียวกัน คุกคามสนธิ ก็ = คุกคามอภิสิทธิ์ไปในตัว
บทสัมภาษณ์เดียวกัน ยังส่งสารถึงคุณอภิสิทธิ์ ยืนยันการให้ความสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และเป็นนักการเมืองน้ำดีที่มีเหลืออยู่น้อย แต่ก็สะกิดเตือนคุณอภิสิทธิ์ในทีด้วยถ้อยคำที่แยบคลายว่า
“ .. ถูกต้อง ภาวะผู้นำมีหลายคนบอกคุณอภิสิทธิ์อ่อน ผมว่าแกอาจจะดูอ่อน แต่ผมเชื่อว่าเวลาแกตัดสินใจ แกตัดสินใจจริง อย่างเช่นกรณีคดีลอบสังหารผม แกพูดชัดเจนทั้งในที่สาธารณะ ส่วนตัว แกบอกต้องจับคนร้ายให้ได้ ซึ่งมันเป็นนัยที่สำคัญ เพราะว่าแกชูหลักนิติรัฐตลอดเวลา ถ้าขืนปล่อยให้คนใช้อาวุธสงครามมาไล่ฆ่าผมอย่างนี้แล้วยังหลุดไปได้ ถามว่าตัวนายกฯ อภิสิทธิ์จะรอดพ้นไหม ก็ไม่รอดเหมือนกันใช่ไหม เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำหรือเกี่ยวข้อง ถ้าตำรวจสาวถึง เขาต้องเล่นงานหมด เขาไม่แคร์แน่”
แคน สาลิกา : คุณสนธิ มั่นใจว่าคุณอภิสิทธิ์จะยึดหลักตรงนี้ แล้วสามารถทำให้เจ้าหน้าที่ตื่น
ผมมั่นใจด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ไม่ยึดหลักอันนี้อนาคตแกก็ไม่มี อนาคตไม่มีในแง่ของกายภาพ มันก็เสี่ยงเหมือนกันที่แกจะเป็นอะไรไป อนาคตของแกไม่มีในเชิงปรัชญา เพราะคนบอกว่า แกของปลอม ถูกไม่ถูก เพราะฉะนั้นแล้ว ผมยังเชื่อ และโดยส่วนตัวผมรู้ว่า แกเป็นคนที่ดูเหมือนอ่อน แต่แกกล้าตัดสินใจ ผมยังให้เกียรติแกอยู่ ประเทศจะอยู่ได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแก ในคดีผมนะ เพราะถ้าคดีผมแกตัดสินใจได้เด็ดขาด จะไม่มีใครกล้ากับแกแล้ว เชื่อผมซิ ใครจะไปกล้ากับแกล่ะ
หรือกระทั่งทัศนะต่อเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ เช่น
“...ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ร่างพระวินัยก่อนพระธรรม พระพุทธเจ้าต้องตรัสรู้ก่อนค่อยร่างพระธรรมคำสั่งสอน พอพระธรรมคำสั่งสอนเสร็จค่อยร่างพระวินัย..หลักการปกครองต้องเกิดขึ้นก่อนซิ จะปกครองอย่างภราดรภาพหรือเปล่า จะปกครองด้วยการเอื้ออาทรหรือเปล่า จะปกครองอย่างให้สิทธิเสรีภาพในการทำมาหากิน...”
“..ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในรัฐบาลนานแต่ชีวิตพรรคสั้น เข้าใจรึยัง ก็แก้ไป แต่ถ้าเขาต้องการที่จะมีชีวิตพรรคที่ยาวนานถึงชีวิตรัฐบาลจะสั้น เขาไม่ควรจะแก้..”
ปิดท้ายบทความวันนี้ อ้างถึงบทสัมภาษณ์ของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 ชี้แจงกรณีการจัดจำหน่ายเสื้อฟ้าเมื่อปี 2547 หลังตกเป็นข่าว มีการบังคับขายสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจนมีฎีการ้องทุกข์ไปยังสำนักพระราชวัง อันนำมาสู่คำสั่งให้ยุติการจำหน่าย ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ท่านผู้หญิงวิระยา เอ่ยถึงนายทักษิณว่า
“…พ.ต.ท.ทักษิณรับปากจะช่วยขายเสื้อล็อตดังกล่าวด้วย…”
แต่ปรากฏว่า เสื้อล็อตใหญ่จำนวน 2 – 3 ล้านตัว จำต้องตกค้างอยู่ในโรงงาน และหากท่านผู้หญิงใช้ทรัพย์ส่วนตัวในการออกทุนจัดทำเสื้อครั้งนี้ตามที่ให้สัมภาษณ์ ก็คงจะต้องทำให้ต้นทุนเข้าเนื้อไปจำนวนไม่น้อย แต่แล้ว 2 ปีต่อจากนั้น ก็ให้บังเอิญเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องเสื้อสีฟ้าอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ยุคท้ายรัฐบาลทักษิณ 2) ได้มีการประสานของบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อสั่งซื้อเสื้อสีฟ้า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจกจ่ายประชาชน เนื่องในวันแม่แห่งชาติ แต่ภายหลังกลับมีการนำเสื้อดังกล่าวมอบให้กับอดีต ส.ส. และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย เพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนทั้งที่ใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งลงมา แต่ก็ถือว่าไม่เหมาะสม และมีการร้องทุกข์ไปยัง กกต.ชุด 3 หนา 5 ห่วง โดย ส.ส.จากพรรคชาติไทยรายหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอ้างคำพูดของข้าราชการฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ภาคกลางคนหนึ่งให้ระบุว่า “จังหวัดได้รับเสื้อฟ้าจากกระทรวงมหาดไทย ประมาณ 2,500 ตัว เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนได้ใส่ในวันเฉลิมฉลองสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 74 พรรษา แต่จากการตรวจสอบพบว่า เสื้อสีฟ้าทั้งหมดปักที่หน้าอกด้านซ้าย และที่ปกคอด้านบนว่า 72 พรรษา อย่างชัดเจน โดยกล่องใหญ่ที่บรรจุเสื้อ เขียนส่งถึงหัวหน้าสำนักงานจังหวัด ศาลากลางจังหวัด (ที่ส่งของ) จากมูลนิธินพรัตน์ - รัตนโกสินทร์ 314/1 ซอยวิริยา ถนนศรีอยุธยา เขตพญาไท กทม.10400 และที่ด้านข้างกล่องระบุ บมจ.ธนาคารกรุงไทย 694 ซอยวัดลาดบัวขาว ถนนเจริญกรุง 80 แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวา กทม. 10120 และยังมีปากกาเขียนระบุวันที่ 16 ธันวาคม 2546
ทำให้พบว่า เสื้อสีฟ้าที่ส่งมายังผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด เป็นเสื้อที่มีการส่งขายไป ยังหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ในวโรกาสฉลอง 72 พรรษาราชินี ดังนั้น เสื้อที่ส่งให้แต่ละจังหวัดจึงไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะครั้งนั้นคือ การฉลอง 74 พรรษาราชินี จึงเชื่อว่า เสื้อดังกล่าวต้องจัดเป็นสินค้าประเภทค้างสต็อก ต้องมีราคาต่ำลงตามคุณภาพสินค้า ซึ่งน่าจะมีส่วนต่างพอสมควรกับราคาตามที่มีการประเมิน และเรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงประชาชนและสังคมให้เข้าใจ” ข้าราชการฝ่ายปกครองกล่าว
ความเคลื่อนไหว 2 เหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดคำถามที่ค้างใจ และเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า นอกจากเกิดกรณีฉาวเรื่องการผลิตเสื้อ อ้างเบื้องสูง เพื่อนำไปบังคับขายแก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยแล้ว หลังสำนักพระราชวังออกหนังสือขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว ปรากฏว่ายังคงมีความพยายามของผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจซิกแซกเพื่อของบหลวงมาช่วยจัดซื้อเสื้อล็อตตกค้าง เพื่อช่วยเหลือผู้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือไม่ เพราะถ้าทำจริง นั่นจะเท่ากับว่า นี่เป็นอีกพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่ทำให้รัฐเสียรายได้มากกว่าที่ควรจะเป็น หรือไม่
อีกไม่นานก็คงจะได้รู้ ก็เหมือนกับที่ท่านผู้หญิงได้พูดไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความจริงที่จะพิสูจน์ตัวมันเองตลอด และก็เหมือนกับที่คุณสนธิได้พูดไว้เช่นกันว่า จะหนีอะไรก็หนีได้ แต่คงหนีความจริงไม่พ้น และหลอกอะไรก็หลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้
คงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ชายที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ใครๆ เรียกขานเขาว่าเป็น พ่อหมอ เพราะพูดเหมือนทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เสมอ และต่อมาวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม คุณสนธิ ก็เลือกที่จะออกมาแถลงข่าวอีกครั้งในเวลา 12.30 น. เป็นการแถลงข่าวในวันเดียวกับที่สหประชาชาติต้องการให้ทั่วทั้งโลกระลึกถึงความสำคัญของ “เสรีภาพสื่อมวลชน” ที่ธีมหลักปีนี้ นอกจากจะต้องการให้สื่อทำหน้าที่สร้างสันติภาพ และความสมานฉันท์ แต่ก็เน้นย้ำอยู่เสมอว่า การตรวจสอบทุจริตประพฤติมิชอบของกลุ่มผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง ก็เป็นภารกิจที่สื่อมวลชนมิอาจจะละเลยได้
ขณะที่องค์การเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารมวลชนทั่วโลกประสานเสียง ออกรายงานชี้ว่า รอบปีที่แล้วดัชนีชี้วัดเสรีภาพสื่อทั่วโลกมีแนวโน้มเสื่อมถอยลงทั้งหมด ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในเมืองไทย อ้างคำแถลงของคุณสนธิ พาดหัวข่าวตัวไม้ว่า “ทหารอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหารสนธิ” สื่อมวลชนที่มีบทบาทโดดเด่นในการเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายของผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง นับเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญ หลังผู้พูดได้เคยอธิบายไว้ชัดแจ้งแล้วในการให้สัมภาษณ์กับ แคน สาริกา ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วันว่า
“...ผมถูกยิงเลือดตกบนพื้นดิน แต่ผมปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกยิงโดยคนที่ควรจะไปปกป้องในสิ่งเดียวที่ผมปกป้อง ที่น่าเสียใจที่สุดเสียใจตรงนี้...”
การให้สัมภาษณ์ของคุณสนธิ เกิดขึ้นหลังเพิ่งผ่านพ้นการผ่าตัดสมองไปได้ไม่กี่วัน แต่กลับกลายเป็นการสัมภาษณ์ครั้งหฤโหดที่ผู้ให้สัมภาษณ์ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น ตั้งใจจะลำดับความเป็นมาทางการเมือง วิเคราะห์ออกมาเป็นฉากๆ ภายใต้การแบ่งยุคการเมืองออกมาเป็นยุคทักษิณกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ตั้งสมมติฐานบนพื้นฐานของประเทศที่จะได้นายกรัฐมนตรีที่ดีมีจริยธรรมแต่กลับไม่ได้ // ยุค คมช.ที่ใช้เวลาหนึ่งปีหมดไปกับคำนิยามที่ว่า “สมบัติผลัดกันชม” // และยุครัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ที่มีกองทัพเอาปืนจี้หลัง เพื่อให้นำชาติกลับสู่ภาวะการเมืองเก่า 100 เปอร์เซ็นต์
การลอบสังหารคุณสนธิจึงเหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว กล่าวคือ ปิดฉากการเมืองใหม่ที่พวกเขาหวาดกลัวนักหนา ปิดปากสื่อมวลชน ปลิดชีวิตนักเคลื่อนไหวเพื่อมวลชน ปิดประตูที่จะเป็นทางเลือกอื่น สำหรับนายกฯ ในกำมืออย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อย่าลืมว่า คุกคามคุณสนธิ = คุกคามสื่อ = คุกคามประชาชน และขณะเดียวกัน คุกคามสนธิ ก็ = คุกคามอภิสิทธิ์ไปในตัว
บทสัมภาษณ์เดียวกัน ยังส่งสารถึงคุณอภิสิทธิ์ ยืนยันการให้ความสนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ และเป็นนักการเมืองน้ำดีที่มีเหลืออยู่น้อย แต่ก็สะกิดเตือนคุณอภิสิทธิ์ในทีด้วยถ้อยคำที่แยบคลายว่า
“ .. ถูกต้อง ภาวะผู้นำมีหลายคนบอกคุณอภิสิทธิ์อ่อน ผมว่าแกอาจจะดูอ่อน แต่ผมเชื่อว่าเวลาแกตัดสินใจ แกตัดสินใจจริง อย่างเช่นกรณีคดีลอบสังหารผม แกพูดชัดเจนทั้งในที่สาธารณะ ส่วนตัว แกบอกต้องจับคนร้ายให้ได้ ซึ่งมันเป็นนัยที่สำคัญ เพราะว่าแกชูหลักนิติรัฐตลอดเวลา ถ้าขืนปล่อยให้คนใช้อาวุธสงครามมาไล่ฆ่าผมอย่างนี้แล้วยังหลุดไปได้ ถามว่าตัวนายกฯ อภิสิทธิ์จะรอดพ้นไหม ก็ไม่รอดเหมือนกันใช่ไหม เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำหรือเกี่ยวข้อง ถ้าตำรวจสาวถึง เขาต้องเล่นงานหมด เขาไม่แคร์แน่”
แคน สาลิกา : คุณสนธิ มั่นใจว่าคุณอภิสิทธิ์จะยึดหลักตรงนี้ แล้วสามารถทำให้เจ้าหน้าที่ตื่น
ผมมั่นใจด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ไม่ยึดหลักอันนี้อนาคตแกก็ไม่มี อนาคตไม่มีในแง่ของกายภาพ มันก็เสี่ยงเหมือนกันที่แกจะเป็นอะไรไป อนาคตของแกไม่มีในเชิงปรัชญา เพราะคนบอกว่า แกของปลอม ถูกไม่ถูก เพราะฉะนั้นแล้ว ผมยังเชื่อ และโดยส่วนตัวผมรู้ว่า แกเป็นคนที่ดูเหมือนอ่อน แต่แกกล้าตัดสินใจ ผมยังให้เกียรติแกอยู่ ประเทศจะอยู่ได้ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแก ในคดีผมนะ เพราะถ้าคดีผมแกตัดสินใจได้เด็ดขาด จะไม่มีใครกล้ากับแกแล้ว เชื่อผมซิ ใครจะไปกล้ากับแกล่ะ
หรือกระทั่งทัศนะต่อเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ เช่น
“...ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ร่างพระวินัยก่อนพระธรรม พระพุทธเจ้าต้องตรัสรู้ก่อนค่อยร่างพระธรรมคำสั่งสอน พอพระธรรมคำสั่งสอนเสร็จค่อยร่างพระวินัย..หลักการปกครองต้องเกิดขึ้นก่อนซิ จะปกครองอย่างภราดรภาพหรือเปล่า จะปกครองด้วยการเอื้ออาทรหรือเปล่า จะปกครองอย่างให้สิทธิเสรีภาพในการทำมาหากิน...”
“..ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในรัฐบาลนานแต่ชีวิตพรรคสั้น เข้าใจรึยัง ก็แก้ไป แต่ถ้าเขาต้องการที่จะมีชีวิตพรรคที่ยาวนานถึงชีวิตรัฐบาลจะสั้น เขาไม่ควรจะแก้..”
ปิดท้ายบทความวันนี้ อ้างถึงบทสัมภาษณ์ของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 พฤษภาคม 2552 ชี้แจงกรณีการจัดจำหน่ายเสื้อฟ้าเมื่อปี 2547 หลังตกเป็นข่าว มีการบังคับขายสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจนมีฎีการ้องทุกข์ไปยังสำนักพระราชวัง อันนำมาสู่คำสั่งให้ยุติการจำหน่าย ตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ท่านผู้หญิงวิระยา เอ่ยถึงนายทักษิณว่า
“…พ.ต.ท.ทักษิณรับปากจะช่วยขายเสื้อล็อตดังกล่าวด้วย…”
แต่ปรากฏว่า เสื้อล็อตใหญ่จำนวน 2 – 3 ล้านตัว จำต้องตกค้างอยู่ในโรงงาน และหากท่านผู้หญิงใช้ทรัพย์ส่วนตัวในการออกทุนจัดทำเสื้อครั้งนี้ตามที่ให้สัมภาษณ์ ก็คงจะต้องทำให้ต้นทุนเข้าเนื้อไปจำนวนไม่น้อย แต่แล้ว 2 ปีต่อจากนั้น ก็ให้บังเอิญเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องเสื้อสีฟ้าอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ยุคท้ายรัฐบาลทักษิณ 2) ได้มีการประสานของบประมาณจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อสั่งซื้อเสื้อสีฟ้า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจกจ่ายประชาชน เนื่องในวันแม่แห่งชาติ แต่ภายหลังกลับมีการนำเสื้อดังกล่าวมอบให้กับอดีต ส.ส. และอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย เพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชนทั้งที่ใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งแม้จะยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งลงมา แต่ก็ถือว่าไม่เหมาะสม และมีการร้องทุกข์ไปยัง กกต.ชุด 3 หนา 5 ห่วง โดย ส.ส.จากพรรคชาติไทยรายหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานอ้างคำพูดของข้าราชการฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ภาคกลางคนหนึ่งให้ระบุว่า “จังหวัดได้รับเสื้อฟ้าจากกระทรวงมหาดไทย ประมาณ 2,500 ตัว เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนได้ใส่ในวันเฉลิมฉลองสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 74 พรรษา แต่จากการตรวจสอบพบว่า เสื้อสีฟ้าทั้งหมดปักที่หน้าอกด้านซ้าย และที่ปกคอด้านบนว่า 72 พรรษา อย่างชัดเจน โดยกล่องใหญ่ที่บรรจุเสื้อ เขียนส่งถึงหัวหน้าสำนักงานจังหวัด ศาลากลางจังหวัด (ที่ส่งของ) จากมูลนิธินพรัตน์ - รัตนโกสินทร์ 314/1 ซอยวิริยา ถนนศรีอยุธยา เขตพญาไท กทม.10400 และที่ด้านข้างกล่องระบุ บมจ.ธนาคารกรุงไทย 694 ซอยวัดลาดบัวขาว ถนนเจริญกรุง 80 แขวงบางคอแหลม เขตยานนาวา กทม. 10120 และยังมีปากกาเขียนระบุวันที่ 16 ธันวาคม 2546
ทำให้พบว่า เสื้อสีฟ้าที่ส่งมายังผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด เป็นเสื้อที่มีการส่งขายไป ยังหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ในวโรกาสฉลอง 72 พรรษาราชินี ดังนั้น เสื้อที่ส่งให้แต่ละจังหวัดจึงไม่ตรงกับสถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะครั้งนั้นคือ การฉลอง 74 พรรษาราชินี จึงเชื่อว่า เสื้อดังกล่าวต้องจัดเป็นสินค้าประเภทค้างสต็อก ต้องมีราคาต่ำลงตามคุณภาพสินค้า ซึ่งน่าจะมีส่วนต่างพอสมควรกับราคาตามที่มีการประเมิน และเรื่องนี้รัฐบาลต้องชี้แจงประชาชนและสังคมให้เข้าใจ” ข้าราชการฝ่ายปกครองกล่าว
ความเคลื่อนไหว 2 เหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดคำถามที่ค้างใจ และเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า นอกจากเกิดกรณีฉาวเรื่องการผลิตเสื้อ อ้างเบื้องสูง เพื่อนำไปบังคับขายแก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยแล้ว หลังสำนักพระราชวังออกหนังสือขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว ปรากฏว่ายังคงมีความพยายามของผู้มีอำนาจ ใช้อำนาจซิกแซกเพื่อของบหลวงมาช่วยจัดซื้อเสื้อล็อตตกค้าง เพื่อช่วยเหลือผู้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือไม่ เพราะถ้าทำจริง นั่นจะเท่ากับว่า นี่เป็นอีกพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่ทำให้รัฐเสียรายได้มากกว่าที่ควรจะเป็น หรือไม่
อีกไม่นานก็คงจะได้รู้ ก็เหมือนกับที่ท่านผู้หญิงได้พูดไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความจริงที่จะพิสูจน์ตัวมันเองตลอด และก็เหมือนกับที่คุณสนธิได้พูดไว้เช่นกันว่า จะหนีอะไรก็หนีได้ แต่คงหนีความจริงไม่พ้น และหลอกอะไรก็หลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้