ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กับ “โลกเราใบนี้” ที่เสมือน “ต้องคำสาป-ถูกสาป!” อะไรทำนองนั้น เพราะโลกเราประสบพบเจอ “สารพัดวิกฤต” เริ่มตั้งแต่ “วิกฤตเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะ “การเงิน” จน “ลาม-ระบาด” ไปทั่วทั้งโลก เรียกว่า ทำให้โลกใบนี้ “เอียงกะเท่เร่!” เกือบจะ “ล้มทั้งยืน!” ยังไงยังงั้น
ถามว่า สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโลก กระเตื้องขึ้นหรือดีขึ้นบ้างหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ยัง!” เพียงแต่ปัจจุบันนี้กำลังซึมซับปัญหา และไม่สำคัญเท่ากับว่า มีการรับรู้ถึง “แก่นแท้-สภาพปัญหา” ตลอดจน “เตรียมการ-วางแผน” ใน “การสกัดกั้น” ไม่ให้ “ปัญหาลามเลยเถิด!” ไปมากกว่านี้!
“วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่วิกฤตสาหัสสากรรจ์ในปี 2550 ครั้งนี้ ต้องขอย้ำว่า “วิกฤตหนักสุด!” มากกว่าวิกฤตเมื่อปี 2540 หลายเท่า เนื่องด้วย “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ในครั้งนี้ เป็น “วิกฤตด้านสถาบันการเงิน” ที่ปะทุขึ้นจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ต้องเรียกว่าเป็น “จ้าวโลก!” ที่ยิ่งใหญ่มาก ตลอดจนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่ลึกซึ้งกับประเทศมหาอำนาจในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
เท่านั้นยังไม่พอ ปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้ มิใช่ลามถึงยุโรปเท่านั้น แต่ยังหยิบยื่นปัญหามาถึงประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็น “พันธมิตรเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ “สถาบันการเงิน” และ “กองทุน” ต่างๆ ที่ “ร่วมรันพันตู” กันอย่างมากจนแยกไม่ออก หรือพูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า “กู้เงิน” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น “เงินสด-ตั๋วเงิน-พันธบัตร” ตลอดจน “การลงทุน” ในประเทศสหรัฐอเมริกาจาก “กลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G8” ในสหรัฐฯ ตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิด “หลุมดำ!” ซึ่งเป็น “หลุมดำมหึมา!” จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตร ตลอดจนทำมาค้าขายด้วย จึงพลอยถูก “ฉุดกระชากลากถู” ให้ลงหลุมดำไปกับอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราอย่าลืมว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก ถึงแม้ว่า ประชากรจะมีเพียง 300 ล้านคนเท่านั้น แต่ “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” นั้น ใหญ่โตและระดับสูงมาก ในกรณีของ “คุณค่าเงิน” และ “ค่าครองชีพ” ที่มีจำนวนสูงมากกว่าระดับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา
ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแทบจะเป็น “แหล่งทองคำ” สำหรับนานาประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต่างแก่งแย่งที่จะทำมาค้าขายกับประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีจำนวนตัวเลขในการบริโภคสูง ทั้งในจำนวนปริมาณและราคา พร้อมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แหล่งการผลิตสินค้าในระดับล่าง ทั้งภาคบริการและภาคการผลิตมีจำนวนน้อย จึงต้องนำเข้าเสียส่วนใหญ่
ความจำเป็นในการพึ่งพา “ภาคการผลิต-ภาคการบริการ” จากต่างประเทศที่ “ถูกกว่า-คุ้มค่ากว่า” จึงไหลทะลักเข้าสู่ “ตลาดอเมริกัน” อย่างมาก จากทั่วทุกสารทิศทั่วโลก ตลอดจนชาวอเมริกันมีการบริโภคสูงมาก พูดภาษาชาวบ้านคือ “ตลาดอเมริกา” เป็น “ตลาดใหญ่” ที่นานาประเทศทั่วโลกปรารถนาค้าขายกับ “ตลาดอเมริกา” อย่างมาก!
เพราะฉะนั้น เมื่อ “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” ตกอยู่ใน “สภาพเอียงกะเท่เร่!” จึงเป็นปกติธรรมดาที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก พลอยเอียงไปด้วย เปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในสภาวะสั่นคลอน บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย!
แต่ที่เป็นปัญหาหลักของ “สภาวะวิกฤตการเงินสหรัฐฯ” เกิดจาก “สถาบันการเงิน” ของสหรัฐฯ หลายแห่ง ที่มีการบริหารจัดการที่ “ไร้ธรรมาภิบาล!” สะสมมาไม่ต่ำกว่าประมาณ 4-5 ปี จากการปล่อยกู้ยืม ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์และเครดิตต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วย “การประเมินต่ำ-ปล่อยกู้สินเชื่อด้อยคุณภาพ” หรือที่มักเรียกกันว่า “ปัญหาซัพไพรม์ (Sub Prime)”
ปัญหาที่เกิดขึ้นยัง “แกว่ง-ไม่นิ่ง” กับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้สามารถเรียนรู้ปัญหาและถูกหยุดสกัดกั้นได้ระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขและกอบกู้ได้อย่างรวดเร็ว คงต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่าสองไตรมาส หรือ 6 เดือน จึงจะตั้งสติและ “ผลักดัน” จนแข็งแรงและ “ฟื้นฟู” ได้ราวต้นปี 2553 หรือไตรมาสแรกของปี 2553 (2010)
เข้าทำนอง “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!” หรือ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” หรือเลวร้ายสุดๆ ว่า “เคราะห์หามยามซวย!” เมื่อสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะเข้าที่เข้าทาง และเริ่มจะเดินหน้า “แก้ไข-กอบกู้-ฟื้นฟู” ได้แล้ว เราชาวโลกกลับเจอ “มรสุมลูกใหม่” กล่าวคือ “วิกฤตไข้หวัดหมู” หรือเปลี่ยนเรียกใหม่ว่า “ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก!”
ภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เมื่อ “ไข้หวัดหมู-ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก” ที่ได้ถูกค้นพบโดยบรรดานายแพทย์ที่ประเทศเม็กซิโก ว่ามีคนไข้ที่ป่วยจากการได้รับเชื้อโรค “ไวรัส H1 N1” ที่เป็นไวรัส คล้ายๆ กับ “ไข้หวัดนก” เกิดกับฟาร์มเลี้ยงหมู จนมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตเบื้องต้นจาก 80 กว่าราย เป็นเกือบ 200 ราย
เท่านั้นยังไม่พอ ได้มีการค้นพบว่า “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” ได้แพร่ระบาดกระจายสู่ผู้คนที่เป็นทั้งชาวเม็กซิกันและชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวประเทศเม็กซิโกลามไปทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป เลยเถิดมาจนถึงเอเชีย จำนวนประมาณ 2,000-3,000 ราย จนเป็นที่ “ตื่นตระหนกตกใจ” กันไปทั่วโลก จนพยายามห้ามไม่ให้มีการเดินทางระหว่างประเทศกันเลย
จริงๆ แล้ว “ไข้หวัดหมู” เกิดจาก “ฟาร์มหมู” ที่ประเทศเม็กซิโกเท่านั้น มิใช่เกิดกับหมูทั่วโลก จากการไม่เข้าใจถึงข้อมูลที่แท้จริงหรือคลาดเคลื่อน “ตื่นเหมารวม!” ไปหมด ดังนั้น ปัญหาของโรคไวรัสนี้ เกิดจาก “การแพร่เชื้อ” ที่มนุษย์เป็น “พาหนะ” กับการเดินทางไปทั่วโลก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่า เมื่อนักเดินทาง 8-10 คน ได้รับเชื้อโรคจากแหล่งกำเนิด ก็จะเป็นพาหนะไปติดต่อกับประชาชนในแต่ละประเทศ และก็เป็นไปตาม “สูตรคูณ” ที่กระจายเผยแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วโลก!
ความจริงที่ต้องยอมรับว่า “เชื้อโรค” ในลักษณะอย่างนี้ มิใช่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโรคไข้หวัดนกก็ดี หรือ “โรคซาร์ส (Sars)” ที่ “เขย่า” ชาวโลกมานับครั้งไม่ถ้วน จน “แตกตื่น-ตระหนก-ขวัญผวา!” และใน “เชิงจิตวิทยา” ย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาลกับทางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพะอย่างยิ่ง “ยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่ “บทบาทสื่อมวลชน” มีอิทธิพลมากกับการรายงานข้อมูลข่าวสารไปได้ทั่วโลก เพียงไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง การรับรู้ก็กระจายไปทั่วโลก
ประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ชาวโลกรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดจาก “การแถลงข่าว” ของ “องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization)” อย่างเป็นทางการ เมื่อประมาณวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน หรือวันจันทร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา
จากปัญหา “วิกฤตการเงินโลก” มาต่อด้วย “ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก” ก็ต้องตะโกนดังๆ ว่า “ซ้ำเติม!” ให้ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่กำลังจะฟื้นตัว กลับ “ดิ่งลงเหว!” ถอยกรูดไปอีกมาก จนทำให้ “วงการตลาดหลักทรัพย์-ราคาทองคำ” แม้กระทั่ง “น้ำมัน” พลอยราคาร่วงลงไปอีก กว่าจะปรับกลับเข้าที่เดิมได้ น่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
เรียกว่า “สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่ต้องเรียกว่า “Global Crisis” เนื่องด้วยความสัมพันธ์และเชื่อมโยงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ใน “สังคมยุคใหม่” เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เมื่อเกิดปัญหากรณีใดกรณีหนึ่ง จะต้องพัวพันกันไปหมด!
จากสภาวะปัญหาเศรษฐกิจที่ซ้ำเติม ให้ฟื้นตัวได้ช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่ในประเทศไทยเรากลับ “ตอกย้ำ-ซ้ำเติม” ปัญหาชาติบ้านเมืองให้เลวร้ายลงไปอีกในแทบจะทุกกรณี จาก “วิกฤตการเมือง”
หลังจากเทศกาล “สงกรานต์เดือด!” ที่ “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” หรือ “กลุ่มเสื้อแดง” ที่ประกาศสลายการชุมนุม พร้อมทยอยมอบตัวกับทางตำรวจ และได้รับการประกันตัวในที่สุด กลับประกาศว่าจะ “ชุมนุมใหญ่” อีกครั้งหนึ่ง เร็วๆ นี้ เพื่อเคลื่อนไหวให้มีการรณรงค์ให้เกิด “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง
ก็ต้องแสดงความรู้สึกว่า “สะท้อนใจ” เป็นอย่างมากกับการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดยั้งของ “นปช.-กลุ่มเสื้อแดง” ที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะเดินหน้าต่อ ตลอดจน คุณทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศเดินหน้าต่อเช่นเดียวกัน แต่จะยึด “สันติวิธี”
จะชุมนุมเคลื่อนไหวประท้วงอย่างไร ก็เป็น “สิทธิ” ที่พึงกระทำได้ เพียงแต่ว่า “การชุมนุม” แต่ละครั้ง จะมีจำนวนผู้ชุมนุมอย่างน้อยก็ต้อง 3,000-5,000 คน อยู่ที่ “กระสุน” ที่จะมีการสนับสนุน แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “สื่อสารมวลชน” ทุกแขนงทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะนำเสนอ “รายงาน” เป็นไปตามภารกิจหน้าที่ของสื่อมวลชน ปัญหาก็จะเกิดผลเสียแก่ “ภาพลักษณ์” ประเทศชาติถึง “ความปั่นป่วน” ของประเทศชาติที่กระจายไปทั่วโลก
“หยุดทำร้ายประเทศไทยกันเถอะ! บ้านเมืองบอบช้ำมากเกินพอแล้ว เป้าหมายของการชุมนุมนั้น มิได้ส่งเสริมประชาธิปไตยแต่ประการใด เพียงแต่ “ตอบสนอง-ตอบแทน” บุคคลเท่านั้น ...” หยุดเถอะ!
ถามว่า สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจโลก กระเตื้องขึ้นหรือดีขึ้นบ้างหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ยัง!” เพียงแต่ปัจจุบันนี้กำลังซึมซับปัญหา และไม่สำคัญเท่ากับว่า มีการรับรู้ถึง “แก่นแท้-สภาพปัญหา” ตลอดจน “เตรียมการ-วางแผน” ใน “การสกัดกั้น” ไม่ให้ “ปัญหาลามเลยเถิด!” ไปมากกว่านี้!
“วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่วิกฤตสาหัสสากรรจ์ในปี 2550 ครั้งนี้ ต้องขอย้ำว่า “วิกฤตหนักสุด!” มากกว่าวิกฤตเมื่อปี 2540 หลายเท่า เนื่องด้วย “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ในครั้งนี้ เป็น “วิกฤตด้านสถาบันการเงิน” ที่ปะทุขึ้นจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ต้องเรียกว่าเป็น “จ้าวโลก!” ที่ยิ่งใหญ่มาก ตลอดจนมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงที่ลึกซึ้งกับประเทศมหาอำนาจในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี
เท่านั้นยังไม่พอ ปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้ มิใช่ลามถึงยุโรปเท่านั้น แต่ยังหยิบยื่นปัญหามาถึงประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็น “พันธมิตรเศรษฐกิจ” ที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ “สถาบันการเงิน” และ “กองทุน” ต่างๆ ที่ “ร่วมรันพันตู” กันอย่างมากจนแยกไม่ออก หรือพูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้าน ก็หมายความว่า “กู้เงิน” ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น “เงินสด-ตั๋วเงิน-พันธบัตร” ตลอดจน “การลงทุน” ในประเทศสหรัฐอเมริกาจาก “กลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G8” ในสหรัฐฯ ตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา
เมื่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเกิด “หลุมดำ!” ซึ่งเป็น “หลุมดำมหึมา!” จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตร ตลอดจนทำมาค้าขายด้วย จึงพลอยถูก “ฉุดกระชากลากถู” ให้ลงหลุมดำไปกับอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราอย่าลืมว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก ถึงแม้ว่า ประชากรจะมีเพียง 300 ล้านคนเท่านั้น แต่ “สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Status)” นั้น ใหญ่โตและระดับสูงมาก ในกรณีของ “คุณค่าเงิน” และ “ค่าครองชีพ” ที่มีจำนวนสูงมากกว่าระดับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา
ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงแทบจะเป็น “แหล่งทองคำ” สำหรับนานาประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต่างแก่งแย่งที่จะทำมาค้าขายกับประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีจำนวนตัวเลขในการบริโภคสูง ทั้งในจำนวนปริมาณและราคา พร้อมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แหล่งการผลิตสินค้าในระดับล่าง ทั้งภาคบริการและภาคการผลิตมีจำนวนน้อย จึงต้องนำเข้าเสียส่วนใหญ่
ความจำเป็นในการพึ่งพา “ภาคการผลิต-ภาคการบริการ” จากต่างประเทศที่ “ถูกกว่า-คุ้มค่ากว่า” จึงไหลทะลักเข้าสู่ “ตลาดอเมริกัน” อย่างมาก จากทั่วทุกสารทิศทั่วโลก ตลอดจนชาวอเมริกันมีการบริโภคสูงมาก พูดภาษาชาวบ้านคือ “ตลาดอเมริกา” เป็น “ตลาดใหญ่” ที่นานาประเทศทั่วโลกปรารถนาค้าขายกับ “ตลาดอเมริกา” อย่างมาก!
เพราะฉะนั้น เมื่อ “เศรษฐกิจสหรัฐฯ” ตกอยู่ใน “สภาพเอียงกะเท่เร่!” จึงเป็นปกติธรรมดาที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก พลอยเอียงไปด้วย เปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในสภาวะสั่นคลอน บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย!
แต่ที่เป็นปัญหาหลักของ “สภาวะวิกฤตการเงินสหรัฐฯ” เกิดจาก “สถาบันการเงิน” ของสหรัฐฯ หลายแห่ง ที่มีการบริหารจัดการที่ “ไร้ธรรมาภิบาล!” สะสมมาไม่ต่ำกว่าประมาณ 4-5 ปี จากการปล่อยกู้ยืม ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์และเครดิตต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วย “การประเมินต่ำ-ปล่อยกู้สินเชื่อด้อยคุณภาพ” หรือที่มักเรียกกันว่า “ปัญหาซัพไพรม์ (Sub Prime)”
ปัญหาที่เกิดขึ้นยัง “แกว่ง-ไม่นิ่ง” กับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้สามารถเรียนรู้ปัญหาและถูกหยุดสกัดกั้นได้ระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขและกอบกู้ได้อย่างรวดเร็ว คงต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่าสองไตรมาส หรือ 6 เดือน จึงจะตั้งสติและ “ผลักดัน” จนแข็งแรงและ “ฟื้นฟู” ได้ราวต้นปี 2553 หรือไตรมาสแรกของปี 2553 (2010)
เข้าทำนอง “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!” หรือ “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” หรือเลวร้ายสุดๆ ว่า “เคราะห์หามยามซวย!” เมื่อสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะเข้าที่เข้าทาง และเริ่มจะเดินหน้า “แก้ไข-กอบกู้-ฟื้นฟู” ได้แล้ว เราชาวโลกกลับเจอ “มรสุมลูกใหม่” กล่าวคือ “วิกฤตไข้หวัดหมู” หรือเปลี่ยนเรียกใหม่ว่า “ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก!”
ภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เมื่อ “ไข้หวัดหมู-ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก” ที่ได้ถูกค้นพบโดยบรรดานายแพทย์ที่ประเทศเม็กซิโก ว่ามีคนไข้ที่ป่วยจากการได้รับเชื้อโรค “ไวรัส H1 N1” ที่เป็นไวรัส คล้ายๆ กับ “ไข้หวัดนก” เกิดกับฟาร์มเลี้ยงหมู จนมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตเบื้องต้นจาก 80 กว่าราย เป็นเกือบ 200 ราย
เท่านั้นยังไม่พอ ได้มีการค้นพบว่า “เชื้อไวรัสไข้หวัดหมู” ได้แพร่ระบาดกระจายสู่ผู้คนที่เป็นทั้งชาวเม็กซิกันและชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวประเทศเม็กซิโกลามไปทั่วโลก ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป เลยเถิดมาจนถึงเอเชีย จำนวนประมาณ 2,000-3,000 ราย จนเป็นที่ “ตื่นตระหนกตกใจ” กันไปทั่วโลก จนพยายามห้ามไม่ให้มีการเดินทางระหว่างประเทศกันเลย
จริงๆ แล้ว “ไข้หวัดหมู” เกิดจาก “ฟาร์มหมู” ที่ประเทศเม็กซิโกเท่านั้น มิใช่เกิดกับหมูทั่วโลก จากการไม่เข้าใจถึงข้อมูลที่แท้จริงหรือคลาดเคลื่อน “ตื่นเหมารวม!” ไปหมด ดังนั้น ปัญหาของโรคไวรัสนี้ เกิดจาก “การแพร่เชื้อ” ที่มนุษย์เป็น “พาหนะ” กับการเดินทางไปทั่วโลก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่า เมื่อนักเดินทาง 8-10 คน ได้รับเชื้อโรคจากแหล่งกำเนิด ก็จะเป็นพาหนะไปติดต่อกับประชาชนในแต่ละประเทศ และก็เป็นไปตาม “สูตรคูณ” ที่กระจายเผยแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วโลก!
ความจริงที่ต้องยอมรับว่า “เชื้อโรค” ในลักษณะอย่างนี้ มิใช่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโรคไข้หวัดนกก็ดี หรือ “โรคซาร์ส (Sars)” ที่ “เขย่า” ชาวโลกมานับครั้งไม่ถ้วน จน “แตกตื่น-ตระหนก-ขวัญผวา!” และใน “เชิงจิตวิทยา” ย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาลกับทางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพะอย่างยิ่ง “ยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่ “บทบาทสื่อมวลชน” มีอิทธิพลมากกับการรายงานข้อมูลข่าวสารไปได้ทั่วโลก เพียงไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง การรับรู้ก็กระจายไปทั่วโลก
ประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ชาวโลกรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดจาก “การแถลงข่าว” ของ “องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization)” อย่างเป็นทางการ เมื่อประมาณวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน หรือวันจันทร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา
จากปัญหา “วิกฤตการเงินโลก” มาต่อด้วย “ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก” ก็ต้องตะโกนดังๆ ว่า “ซ้ำเติม!” ให้ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่กำลังจะฟื้นตัว กลับ “ดิ่งลงเหว!” ถอยกรูดไปอีกมาก จนทำให้ “วงการตลาดหลักทรัพย์-ราคาทองคำ” แม้กระทั่ง “น้ำมัน” พลอยราคาร่วงลงไปอีก กว่าจะปรับกลับเข้าที่เดิมได้ น่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
เรียกว่า “สภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่ต้องเรียกว่า “Global Crisis” เนื่องด้วยความสัมพันธ์และเชื่อมโยงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ใน “สังคมยุคใหม่” เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เมื่อเกิดปัญหากรณีใดกรณีหนึ่ง จะต้องพัวพันกันไปหมด!
จากสภาวะปัญหาเศรษฐกิจที่ซ้ำเติม ให้ฟื้นตัวได้ช้าลง ส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่ในประเทศไทยเรากลับ “ตอกย้ำ-ซ้ำเติม” ปัญหาชาติบ้านเมืองให้เลวร้ายลงไปอีกในแทบจะทุกกรณี จาก “วิกฤตการเมือง”
หลังจากเทศกาล “สงกรานต์เดือด!” ที่ “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” หรือ “กลุ่มเสื้อแดง” ที่ประกาศสลายการชุมนุม พร้อมทยอยมอบตัวกับทางตำรวจ และได้รับการประกันตัวในที่สุด กลับประกาศว่าจะ “ชุมนุมใหญ่” อีกครั้งหนึ่ง เร็วๆ นี้ เพื่อเคลื่อนไหวให้มีการรณรงค์ให้เกิด “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง
ก็ต้องแสดงความรู้สึกว่า “สะท้อนใจ” เป็นอย่างมากกับการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดยั้งของ “นปช.-กลุ่มเสื้อแดง” ที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าจะเดินหน้าต่อ ตลอดจน คุณทักษิณ ชินวัตร ก็ประกาศเดินหน้าต่อเช่นเดียวกัน แต่จะยึด “สันติวิธี”
จะชุมนุมเคลื่อนไหวประท้วงอย่างไร ก็เป็น “สิทธิ” ที่พึงกระทำได้ เพียงแต่ว่า “การชุมนุม” แต่ละครั้ง จะมีจำนวนผู้ชุมนุมอย่างน้อยก็ต้อง 3,000-5,000 คน อยู่ที่ “กระสุน” ที่จะมีการสนับสนุน แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “สื่อสารมวลชน” ทุกแขนงทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะนำเสนอ “รายงาน” เป็นไปตามภารกิจหน้าที่ของสื่อมวลชน ปัญหาก็จะเกิดผลเสียแก่ “ภาพลักษณ์” ประเทศชาติถึง “ความปั่นป่วน” ของประเทศชาติที่กระจายไปทั่วโลก
“หยุดทำร้ายประเทศไทยกันเถอะ! บ้านเมืองบอบช้ำมากเกินพอแล้ว เป้าหมายของการชุมนุมนั้น มิได้ส่งเสริมประชาธิปไตยแต่ประการใด เพียงแต่ “ตอบสนอง-ตอบแทน” บุคคลเท่านั้น ...” หยุดเถอะ!