ASTV ผู้จัดการรายวัน – เศรษฐกิจไทยดิ่งเหว หากยุบสภา 1-2 เดือนนี้ “กอร์ปศักดิ์” ลั่นต้องจัดทำงบประมาณปี 53-งบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ให้เสร็จ ระบุหากรัฐบาลอยู่ต่อออกมาตรการได้เชื่อจีดีพีกระเตื้องไตรมาส 4/52 ก่อนปรับตัวสูงขึ้นไตรมาส 1/53 พร้อมจี้ ธปท.ออกนโยบายการเงินผสมมาตรการคลังฟื้นเศรษฐกิจ เผยแม้ต่างชาติ เมินหุ้นไทย เป็นจังหวะดีคนไทยซื้อของถูก
นายกอปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าว ปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยก้าวต่ออย่างไรในภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวน ” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ว่า ขณะนี้รัฐบาลจะต้องมีการเร่งจัดทำงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ2 และจัดทำงบประมาณปี 2553 ให้เสร็จก่อนที่จะมีการยุบสภา ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาส1/52 แต่หากไม่สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 และจัดทำงบประมาณปี 2553 ไม่สำเร็จก่อนแล้วมีการรยุบสภาในช่วง 1-2 เดือนนั้น จะส่งผลให้งบลงทุนในปี2553 จะไม่มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ แต่จะนำเม็ดเงินลงทุนเก่ามาใช้ทำให้เม็ดเงินลงทุนที่จะเข้าสู่ระบบหายไป 2.5 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลจะต้องมีการตัดงบค่าใช้จ่าย ในส่วนเกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในทุกระทรวง
ทั้งนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวได้จะเป็นไตรมาส 2/52 ซึ่งล่าช้าออกไปกว่า 4 เดือน เพราะ กว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีนโยบายการดำเนินงานออกมาทำให้กว่าจะมีการลงทุนได้จากเดิมในเดือนพฤศจิกายน จะต้องเลื่อนเป็นเดือนเมษายน 2553 แทน แต่หากรัฐบาลสามารถที่จะสามารถแก้ปัญหาในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองได้ในทิศทางที่ดี ไม่เกิดเหตุจราจลเกิดขึ้น ไทยในช่วงไตรมาส 4/52 น่าจะปรับตัวดีขึ้น จากเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะผ่านจุดต่อสุดไปแล้ว และรัฐบาลสามารถนำงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีปีละ 5 แสนล้านออกมาใช้ได้ในช่วงไตรมาส4/52นั้น ก็จะส่งดีต่อเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้น
“ในปลายเดือนนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ2 และในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ จะทราบแหล่งเงินทุนว่าจะมาจากไป ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีไปแล้วซึ่งจะมีงบลงทุนจำนวน 1.56 ล้านล้านบาท และหากรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ เสื้อสีต่างๆ ยุติการชุมนุม มีการแก้ไขรัฐธรรมนุญ แก้ปัญหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีนั่งโต๊ะเจรจาไม่เกิดจราจลจะส่งดีทำให้รัฐบาลอยู่ต่อได้และสามารถจัดทำงบประมาณปี 53 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ได้สำเร็จ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลต่อไป หากจัดทำไม่เสร็จก็จะเกิดสุญญากาศทางเมืองเกิดขึ้น” นายกอปศักดิ์ กล่าว
สำหรับเม็ดเงินที่รัฐบาลจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจและใช้จ่ายในโครงการต่างๆนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการหารือเกี่ยวกับการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มี1.55 ล้านเหรียญสหรัฐมาใช้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ได้มีการแจ้งว่ายังไม่มีความจำเป็นมากขนาดที่จะนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ และอาจจะก่อให้เกิดแรงกดดันในประเทศมากขึ้น จึงไม่เหมาะสม แต่หากไปกู้เงินหรือหาแหล่งเงินทุนอื่นที่มีการจ่ายดอกเบี้ยบ้างจะเป้นทางเลือกที่ดีกว่า
นายกอปศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณการคลังนั้นมีอุปสรรคในเรื่องที่จะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายทำให้มีการเบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นนโยบายการคลังของทุกประเทศก็มีปัญหาเช่นกัน ที่จะต้องนำเรื่องขออนุมัติต่อสภาเพื่อเป็นการชี้แจงว่าจะนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายอะไร แต่การดำเนินการทางด้านการคลังอย่างเดียวคงไม่ได้ จะต้องมีนโยบายการเงินเข้ามาสนับสนุน โดยจากนี้จะต้องมีการดำเนินนโยบายการทางการเงินที่เข้มข้นมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งกระทรวงการคลังนั้นให้อิสระในการดำเนินการแก่ธปท. ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน สภาพคล่อง ที่จะไม่ให้เกิดความผันผวนที่สูง โดยเฉพาะในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ไม่ควรที่จะให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นเพื่อที่จะให้สามารถที่จะแข่งขันกับคู่ค้าได้ ส่วนประเด็นที่ตนมีความกังวลคือในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน จากการที่ธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และผู้กู้เองไม่กล้าที่จะกู้เงินจากกลัวขาดทุน ส่วนผู้ที่ต้องการจะกู้นั้นไม่มีสามารถกู้ได้จากหลักประกันนั้นเต็มแล้ว
ทั้งนี้ส่วนตัวมั่นใจว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีการเดินหน้าในทิศทางที่ดีกว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศจะเป็นอย่างไร จากที่ประเทศไทยไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยขณะนี้มีสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ จากที่ยังไม่มีข่ายร้ายที่น่ากังวลออกมาเพิ่ม ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ยืนยันว่าการปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 53 ลงประมาณ 2 แสนล้านบาทนั้น เป็นการตัดลดงบประมาณในส่วนของการบริหารจัดการที่ไม่จำเป็น จึงยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชน ซึ่งรัฐบาลยังคงจัดสรรงบสำหรับโครงการรักษาพยาบาลฟรี โดยจะเพิ่มค่ารักษาให้อีกคนละ 200 บาท เบี้ยยังชีพสำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน รวมถึงโครงการชุมนุมพอเพียงก็ยังมีอยู่แต่มีรายละเอียดการบริหารจัดการและหาแหล่งเงินต่อไป
“ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้นั้น ส่วนตัวรู้เฉยๆ เพราะ ช่วงนี้ราคาหุ้นต่ำมาก ยังไม่ต้องการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนโดยที่ได้ของดีแต่ราคาถูกจึงมองว่าช่วงนี้ควรปล่อยให้เป็นคนไทยได้เข้ามาลงทุนในการซื้อของถูก แต่ควรเข้ามาในช่วงที่ราคาหุ้นแพงจะดีกว่าเข้ามาในช่วงนี้”
นายกอปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าว ปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยก้าวต่ออย่างไรในภาวะตลาดหุ้นไทยผันผวน ” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ว่า ขณะนี้รัฐบาลจะต้องมีการเร่งจัดทำงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ2 และจัดทำงบประมาณปี 2553 ให้เสร็จก่อนที่จะมีการยุบสภา ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาส1/52 แต่หากไม่สามารถเบิกจ่ายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 และจัดทำงบประมาณปี 2553 ไม่สำเร็จก่อนแล้วมีการรยุบสภาในช่วง 1-2 เดือนนั้น จะส่งผลให้งบลงทุนในปี2553 จะไม่มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ แต่จะนำเม็ดเงินลงทุนเก่ามาใช้ทำให้เม็ดเงินลงทุนที่จะเข้าสู่ระบบหายไป 2.5 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลจะต้องมีการตัดงบค่าใช้จ่าย ในส่วนเกี่ยวกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในทุกระทรวง
ทั้งนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวได้จะเป็นไตรมาส 2/52 ซึ่งล่าช้าออกไปกว่า 4 เดือน เพราะ กว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ และมีนโยบายการดำเนินงานออกมาทำให้กว่าจะมีการลงทุนได้จากเดิมในเดือนพฤศจิกายน จะต้องเลื่อนเป็นเดือนเมษายน 2553 แทน แต่หากรัฐบาลสามารถที่จะสามารถแก้ปัญหาในเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองได้ในทิศทางที่ดี ไม่เกิดเหตุจราจลเกิดขึ้น ไทยในช่วงไตรมาส 4/52 น่าจะปรับตัวดีขึ้น จากเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะผ่านจุดต่อสุดไปแล้ว และรัฐบาลสามารถนำงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีปีละ 5 แสนล้านออกมาใช้ได้ในช่วงไตรมาส4/52นั้น ก็จะส่งดีต่อเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้น
“ในปลายเดือนนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ2 และในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ จะทราบแหล่งเงินทุนว่าจะมาจากไป ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีไปแล้วซึ่งจะมีงบลงทุนจำนวน 1.56 ล้านล้านบาท และหากรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาและสร้างเสถียรภาพทางการเมืองได้ เสื้อสีต่างๆ ยุติการชุมนุม มีการแก้ไขรัฐธรรมนุญ แก้ปัญหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีนั่งโต๊ะเจรจาไม่เกิดจราจลจะส่งดีทำให้รัฐบาลอยู่ต่อได้และสามารถจัดทำงบประมาณปี 53 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ได้สำเร็จ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลต่อไป หากจัดทำไม่เสร็จก็จะเกิดสุญญากาศทางเมืองเกิดขึ้น” นายกอปศักดิ์ กล่าว
สำหรับเม็ดเงินที่รัฐบาลจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจและใช้จ่ายในโครงการต่างๆนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการหารือเกี่ยวกับการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มี1.55 ล้านเหรียญสหรัฐมาใช้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ได้มีการแจ้งว่ายังไม่มีความจำเป็นมากขนาดที่จะนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ และอาจจะก่อให้เกิดแรงกดดันในประเทศมากขึ้น จึงไม่เหมาะสม แต่หากไปกู้เงินหรือหาแหล่งเงินทุนอื่นที่มีการจ่ายดอกเบี้ยบ้างจะเป้นทางเลือกที่ดีกว่า
นายกอปศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณการคลังนั้นมีอุปสรรคในเรื่องที่จะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายทำให้มีการเบิกจ่ายล่าช้า ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นนโยบายการคลังของทุกประเทศก็มีปัญหาเช่นกัน ที่จะต้องนำเรื่องขออนุมัติต่อสภาเพื่อเป็นการชี้แจงว่าจะนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายอะไร แต่การดำเนินการทางด้านการคลังอย่างเดียวคงไม่ได้ จะต้องมีนโยบายการเงินเข้ามาสนับสนุน โดยจากนี้จะต้องมีการดำเนินนโยบายการทางการเงินที่เข้มข้นมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งกระทรวงการคลังนั้นให้อิสระในการดำเนินการแก่ธปท. ว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน สภาพคล่อง ที่จะไม่ให้เกิดความผันผวนที่สูง โดยเฉพาะในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ไม่ควรที่จะให้ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นเพื่อที่จะให้สามารถที่จะแข่งขันกับคู่ค้าได้ ส่วนประเด็นที่ตนมีความกังวลคือในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน จากการที่ธนาคารพาณิชย์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และผู้กู้เองไม่กล้าที่จะกู้เงินจากกลัวขาดทุน ส่วนผู้ที่ต้องการจะกู้นั้นไม่มีสามารถกู้ได้จากหลักประกันนั้นเต็มแล้ว
ทั้งนี้ส่วนตัวมั่นใจว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีการเดินหน้าในทิศทางที่ดีกว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพราะ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศจะเป็นอย่างไร จากที่ประเทศไทยไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยขณะนี้มีสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ จากที่ยังไม่มีข่ายร้ายที่น่ากังวลออกมาเพิ่ม ทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจต่างประเทศจะปรับตัวดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ ยืนยันว่าการปรับลดวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 53 ลงประมาณ 2 แสนล้านบาทนั้น เป็นการตัดลดงบประมาณในส่วนของการบริหารจัดการที่ไม่จำเป็น จึงยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชน ซึ่งรัฐบาลยังคงจัดสรรงบสำหรับโครงการรักษาพยาบาลฟรี โดยจะเพิ่มค่ารักษาให้อีกคนละ 200 บาท เบี้ยยังชีพสำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน รวมถึงโครงการชุมนุมพอเพียงก็ยังมีอยู่แต่มีรายละเอียดการบริหารจัดการและหาแหล่งเงินต่อไป
“ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้นั้น ส่วนตัวรู้เฉยๆ เพราะ ช่วงนี้ราคาหุ้นต่ำมาก ยังไม่ต้องการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนโดยที่ได้ของดีแต่ราคาถูกจึงมองว่าช่วงนี้ควรปล่อยให้เป็นคนไทยได้เข้ามาลงทุนในการซื้อของถูก แต่ควรเข้ามาในช่วงที่ราคาหุ้นแพงจะดีกว่าเข้ามาในช่วงนี้”