“แทกส์” เตรียมร้องศาลปกครอง ขอไต่สวนฉุกเฉิน คุ้มครองชั่วคราว ให้บริการรถเข็นกระเป๋าต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบผู้ใช้บริการ พร้อมเดินหน้าฟ้องศาลปกครองหรือศาลแพ่ง หลังทอท.แจ้งยกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ เชื่อได้รับความเป็นธรรมจากศาล มั่นใจที่ผ่านมาไม่เคยผิดสัญญาเปิดสัญญา โวยรถเข็นฯหายไม่อยู่ในเงื่อนไขที่ต้องรับผิดชอบ ชี้กิจการแทกส์มีกำไร จ่ายปันผลให้ทอท.ต่อเนื่อง ขู่ทอท.ขายหุ้นแทกส์ต้องตอบผู้ถือหุ้นให้ดี ด้านทอท. ยันพิจารณารอบคอบที่สุด ยันพร้อมร่วมจ่ายค่าปรับในฐานะผู้ถือหุ้น
นายลาดหญ้า อูริยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกสัญญาสัมปทาน บริษัท ไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) ในการให้บริการรถเข็นกระเป๋า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมเรียกค่าปรับกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น หากแทกส์ได้รับแจ้งการยกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการจากทอท.แล้ว จะทำการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองหรือศาลแพ่งทันทีเพื่อร้องขอความเป็นธรรมและขอให้ชดเชยค่าเสียหาย
" บริษัทฯ จะร้องศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองชั่วคราว โดยให้บริษัทยังคงให้บริการรถเข็นกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต่อไป ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการกับประชาชนและผู้ใช้บริการ"
ทั้งนี้ แทกส์ได้เตรียมฝ่ายกฎหมาย เพื่อพิจารณาเหตุผลที่ทอท.พิจารณายกเลิกสัญญารถเข็นกระเป๋าว่า มีประเด็นอะไรบ้าง เพื่อนำมาพิจารณาในแง่มุมต่างๆ ก่อนยื่นฟ้องศาล และเชื่อว่า แทกส์จะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแทกส์มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น แทกส์ได้พยายามขอชี้แจงต่อทอท.และคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและแนวทางการแก้ปัญหา ที่มีนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร สำนักงานอัยการสูงสุด และกรรมการทอท.เป็นประธาน แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสที่จะชี้แจงเลย
ปัดรถเข็นหายไม่เข้าข่ายรับผิดชอบ
นายลาดหญ้ากล่าวถึงกรณีที่ ทอท. จะเรียกค่าปรับจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยอ้างว่าแทกส์ผิดสัญญา โดยไม่มีการจัดหารถเข็นฯ มาให้ครบตามสัญญานั้น ยืนยันว่ารถเข็นฯ ที่ไม่เพียงพอ เพราะถูกโจรกรรมในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบที่สัญญาระบุขอบเขตความรับผิดชอบเฉพาะกรณีชำรุด เสียหาย พร่องในการใช้งาน จึงถือว่าไม่ผิดสัญญา
“สำหรับค่าเสียหายที่แทกส์จะเรียกร้องจากทอท.นั้น ต้องพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขจากหนังสือบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะนำไปรวมกับค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นของแทกส์ และยื่นฟ้องพร้อมเรียกร้องค่าเสียหายไปพร้อมกัน”นายลาดหญ้ากล่าว
พร้อมกันนี้ นายลาดหญ้ายังระบุว่า การที่ทอท.เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแทกส์ ถึง 28.5% จะเป็นเงื่อนไขที่ทอท.ต้องพิจารณาให้รอบคอบ แม้จะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในการซื้อหรือขายหุ้นก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมา แทกส์เป็น1 ในบริษัทที่ทอท.ถือหุ้นจากทั้งหมด 7 บริษัท และเป็น 1ใน 2 บริษัทจ่ายเงินปันผลให้ทอท.ในฐานะผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด เป็นเงินกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งการที่ทอท.จะทบทวนการขายหุ้นของแทกส์นั้น ก็คงต้องตอบคำถามผู้ถือหุ้นของทอท.ด้วยว่า มีเหตุผลอย่างไรในการขายหุ้นแทกส์ที่มีประกอบการมีกำไร
อย่างไรก็ตามทอท.ระบุว่า การที่แทกส์มีภาระหนี้สินค้างชำระกับทอท. 2,000 ล้านบาท ทำให้แทกส์ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประมูลรถเข็นฯ ที่ทอท.จะเปิดหาผู้ประกอบการใหม่นั้น นายลาดหญ้ากล่าวว่า คงต้องดูเงื่อนไขทีโออาร์การประมูลด้วยว่า กำหนดไว้อย่างไร มีการจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าร่วมประมูลอย่างไร ทั้งนี้ ยืนยันว่า การทำธุรกิจของแทกส์จะต้องทำกิจกรรมที่มีความรู้ประสบการณ์และกิจกรรมรถเข็นฯ ในสนามบินก็เป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ให้แก่บริษัท ดังนั้น แทกส์ก็ยังต้องการมีส่วนร่วมในการแข่งขัน
นอกจากนี้ การบอกเลิกสัญญารถเข็นฯ และข้อพิพาทที่เกิดขึ้น จะไม่กระทบกับสัญญาอื่นๆ ที่แทกส์มีกับทอท. เช่น สัญญาบริหารคลังสินค้าปลอดภาษี (ฟรีโซน) สัญญาบริหารสะพานเทียบเครื่องบิน เป็นต้น เพราะเป็นธุรกรรมที่ไม่เหมือนกัน มูลค่าสัญญาไม่เท่ากันและแต่ละสัญญาแยกเป็นเอกเทศจากกัน
ขายหุ้น“แทกส์” เป็นทางเลือกที่ดี
ด้านนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการทอท.กล่าวว่า การทบทวนว่าจะมีการขายหุ้นที่ทอท.ถืออยู่ในแทกส์นั้นเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งจะต้องนำหารือกับฝ่ายบริหาร เพื่อวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมและผลกระทบก่อน เพราะในแง่ของธุรกิจแทกส์เป็นบริษัทที่มีอีกหลายกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับทอท.
ส่วนการที่แทกส์ระบุว่าทอท.ต้องร่วมรับผิดชอบค่าปรับประมาณ 400-500 ล้านบาท จากทั้งหมด 2,000 ล้านบาทในฐานะผู้ถือหุ้นของแทกส์ด้วยนั้น นายปิยะพันธ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะทอท.สามารถนำเงินค่าปรับที่ได้มา2,000 ล้านบาทจ่ายและยังเหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ้ม อย่างไรก็ตาม การพิจารณายกเลิกสัญญาแทกส์นั้น ทอท.พิจารณาอย่างครบถ้วนแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับการบริการและทอท. และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
นายลาดหญ้า อูริยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกสัญญาสัมปทาน บริษัท ไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) ในการให้บริการรถเข็นกระเป๋า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมเรียกค่าปรับกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น หากแทกส์ได้รับแจ้งการยกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการจากทอท.แล้ว จะทำการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองหรือศาลแพ่งทันทีเพื่อร้องขอความเป็นธรรมและขอให้ชดเชยค่าเสียหาย
" บริษัทฯ จะร้องศาลปกครอง เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อคุ้มครองชั่วคราว โดยให้บริษัทยังคงให้บริการรถเข็นกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต่อไป ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการกับประชาชนและผู้ใช้บริการ"
ทั้งนี้ แทกส์ได้เตรียมฝ่ายกฎหมาย เพื่อพิจารณาเหตุผลที่ทอท.พิจารณายกเลิกสัญญารถเข็นกระเป๋าว่า มีประเด็นอะไรบ้าง เพื่อนำมาพิจารณาในแง่มุมต่างๆ ก่อนยื่นฟ้องศาล และเชื่อว่า แทกส์จะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแทกส์มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญา ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น แทกส์ได้พยายามขอชี้แจงต่อทอท.และคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและแนวทางการแก้ปัญหา ที่มีนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร สำนักงานอัยการสูงสุด และกรรมการทอท.เป็นประธาน แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสที่จะชี้แจงเลย
ปัดรถเข็นหายไม่เข้าข่ายรับผิดชอบ
นายลาดหญ้ากล่าวถึงกรณีที่ ทอท. จะเรียกค่าปรับจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยอ้างว่าแทกส์ผิดสัญญา โดยไม่มีการจัดหารถเข็นฯ มาให้ครบตามสัญญานั้น ยืนยันว่ารถเข็นฯ ที่ไม่เพียงพอ เพราะถูกโจรกรรมในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบที่สัญญาระบุขอบเขตความรับผิดชอบเฉพาะกรณีชำรุด เสียหาย พร่องในการใช้งาน จึงถือว่าไม่ผิดสัญญา
“สำหรับค่าเสียหายที่แทกส์จะเรียกร้องจากทอท.นั้น ต้องพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขจากหนังสือบอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะนำไปรวมกับค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นของแทกส์ และยื่นฟ้องพร้อมเรียกร้องค่าเสียหายไปพร้อมกัน”นายลาดหญ้ากล่าว
พร้อมกันนี้ นายลาดหญ้ายังระบุว่า การที่ทอท.เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแทกส์ ถึง 28.5% จะเป็นเงื่อนไขที่ทอท.ต้องพิจารณาให้รอบคอบ แม้จะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในการซื้อหรือขายหุ้นก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมา แทกส์เป็น1 ในบริษัทที่ทอท.ถือหุ้นจากทั้งหมด 7 บริษัท และเป็น 1ใน 2 บริษัทจ่ายเงินปันผลให้ทอท.ในฐานะผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด เป็นเงินกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งการที่ทอท.จะทบทวนการขายหุ้นของแทกส์นั้น ก็คงต้องตอบคำถามผู้ถือหุ้นของทอท.ด้วยว่า มีเหตุผลอย่างไรในการขายหุ้นแทกส์ที่มีประกอบการมีกำไร
อย่างไรก็ตามทอท.ระบุว่า การที่แทกส์มีภาระหนี้สินค้างชำระกับทอท. 2,000 ล้านบาท ทำให้แทกส์ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประมูลรถเข็นฯ ที่ทอท.จะเปิดหาผู้ประกอบการใหม่นั้น นายลาดหญ้ากล่าวว่า คงต้องดูเงื่อนไขทีโออาร์การประมูลด้วยว่า กำหนดไว้อย่างไร มีการจำกัดสิทธิ์ผู้เข้าร่วมประมูลอย่างไร ทั้งนี้ ยืนยันว่า การทำธุรกิจของแทกส์จะต้องทำกิจกรรมที่มีความรู้ประสบการณ์และกิจกรรมรถเข็นฯ ในสนามบินก็เป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ให้แก่บริษัท ดังนั้น แทกส์ก็ยังต้องการมีส่วนร่วมในการแข่งขัน
นอกจากนี้ การบอกเลิกสัญญารถเข็นฯ และข้อพิพาทที่เกิดขึ้น จะไม่กระทบกับสัญญาอื่นๆ ที่แทกส์มีกับทอท. เช่น สัญญาบริหารคลังสินค้าปลอดภาษี (ฟรีโซน) สัญญาบริหารสะพานเทียบเครื่องบิน เป็นต้น เพราะเป็นธุรกรรมที่ไม่เหมือนกัน มูลค่าสัญญาไม่เท่ากันและแต่ละสัญญาแยกเป็นเอกเทศจากกัน
ขายหุ้น“แทกส์” เป็นทางเลือกที่ดี
ด้านนายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการทอท.กล่าวว่า การทบทวนว่าจะมีการขายหุ้นที่ทอท.ถืออยู่ในแทกส์นั้นเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งจะต้องนำหารือกับฝ่ายบริหาร เพื่อวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมและผลกระทบก่อน เพราะในแง่ของธุรกิจแทกส์เป็นบริษัทที่มีอีกหลายกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับทอท.
ส่วนการที่แทกส์ระบุว่าทอท.ต้องร่วมรับผิดชอบค่าปรับประมาณ 400-500 ล้านบาท จากทั้งหมด 2,000 ล้านบาทในฐานะผู้ถือหุ้นของแทกส์ด้วยนั้น นายปิยะพันธ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะทอท.สามารถนำเงินค่าปรับที่ได้มา2,000 ล้านบาทจ่ายและยังเหลืออีกกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ้ม อย่างไรก็ตาม การพิจารณายกเลิกสัญญาแทกส์นั้น ทอท.พิจารณาอย่างครบถ้วนแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับการบริการและทอท. และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว