ASTVผู้จัดการรายวัน –“ทอท."ยันแทกส์รถเข็นกระเป๋าไม่ครบตามสัญญาและถูกปรับตั้งแต่เดือนแรก ชี้ยกเลิกสัญญาเป็นเรื่องถูกต้อง บอร์ดพิจารณาตามข้อเท็จจริง ไม่มีอคติ “ปิยะพันธ์”โต้ไม่มีใบสั่งการเมือง ชี้ให้พิสูจน์การประมูลใหม่ ทุกขั้นตอนโปร่งใส คาดแจ้งยกเลิกเป็นทางการในเดือนพ.ค.นี้
นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า มติบอร์ดทอท.เมื่อวันที่ 23 เม.ย.52 เห็นชอบยกเลิกสัญญาการให้บริการรถเข็นกระเป๋า ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ของบริษัท ไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิช จำกัด หรือ แท็กส์ นั้นเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับความเห็นของ คณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและแนวทางการแก้ปัญหา การให้บริการรถเข็นกระเป๋า ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร สำนักงานอัยการสูงสุด และกรรมการทอท. เป็นผู้เสนอ และภายในต้นเดือนพ.ค.นี้ ทอท.จะทำหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาสัมปทานไปยังแทกส์อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้บอร์ดทอท.เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกสัญญากับบริษัทแท็กส์ ด้วยมติเอกฉันท์ 10 ต่อ 1 เสียง อย่างไรก็ตาม กรณีที่แทกส์ยืนยันจะต่อสู้ทางกฎหมาย โดยฟ้องร้องทั้งศาลปกครองและศาลแพ่ง และได้มีการระบุว่า การดำเนินการยกเลิกของ ทอท. เป็นใบสั่งจากการเมืองนั้น ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง บอร์ดทอท.ตัดสินใจบนพื้นฐานตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงฯ รายงานข้อมูลและบอร์ดได้มีการตัดสินด้วยการโหวต
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่า กระบวนการที่จะมีการเปิดประกวดราคาหาผู้จัดหารถเข็นใหม่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า การจัดหาบริษัทเข้ามาดำเนินการจะโปร่งใส และไม่มีกลุ่มผลประโยชน์การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีแนวคิดยกร่างทีโออาร์ และนำไปโพสต์ในเว็บไซต์ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบความโปร่งใสของทีโออาร์ได้
นายปิยะพันธ์ยืนยันว่า บอร์ดพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้มีอคติกับแทกส์ ซึ่ง คณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงฯ ได้เสนอบอร์ดให้ยกเลิกสัญญาตั้งแต่การประชุมบอร์ดชุดนี้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่บอร์ดเห็นว่า เป็นการประชุมนัดแรกยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
“การต่อสู้ทางข้อกฎหมายได้ แต่ประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ ขอไม่เปิดเผยในขณะนี้ แต่มีข้อสัญญาที่ระบุไว้ชัดเจน เช่น ข้อเสนอของแทกส์ที่ระบุว่า จะเป็นผู้จัดหารถ ดูแล และรักษา รวมทั้งจะดูแลไม่ให้นำรถเข็นกระเป๋าออกไปนอกพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้น การที่เกิดปัญหารถเข็นหายจำนวนมาก จาก 9,034 คัน เหลือ 2,800 คัน จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะนำมาอ้างไม่สามารถจัดหารถมาให้บริการอย่างเพียงพอ” นายปิยะพันธ์กล่าว
สำหรับสัญญาสัมปทานของแทกส์ นั้นมีอายุ 7 ปี ตั้งแต่ 28 พ.ย.49–27 พ.ย. 56 วงเงินค่าจ้าง 532.86 ล้านบาท โดยแยกเป็นการจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน รวม 84 เดือน หรือคิดเป็น 6.34 ล้านบาทต่อเดือน โดยตามสัญญานั้นได้ระบุว่า แท็กส์จะต้องมีจำนวนรถเข็นกระเป๋าจำนวน 9,034 คัน และมีค่าปรับกรณีที่จำนวนรถเข็นขาดหายไม่สามารถให้บริการได้เป็นเงิน 2,000 บาท ต่อคัน ต่อวัน
โดยจากการตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.-27 ค.ต.49 ซึ่งเป็นเดือนแรกในการให้บริการของแทกส์ พบว่า มีจำนวนรถเข็นขาดจำนวน 176 คัน เป็นเวลา 7 วัน ทำให้แทกส์ต้องเสียค่าปรับจำนวน 2.46 ล้านบาท และเดือนที่ 2 มีจำนวนรถเข็นขาดจำนวน176 คัน เป็นเวลา 3 วัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 1.56 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 3 - 5 นั้น มีจำนวนรถเข็นครบจำนวนตามสัญญา
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่า แทกส์มีปัญหารถเข็นกระเป๋าขาดหาย และเสียค่าปรับตั้งแต่เดือนแรกในการให้บริการ แต่ในช่วงที่เริ่มมีปัญหามากอยู่ในช่วงเดือนที่ 22 หลังจากการตรวจสอบมีรถเข็นหายไปถึง 340 คัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 20 ล้านบาท และทางคณะกรรมการตรวจการจ้าง ที่มีร.ท.ต่อศักดิ์ นิงสานนท์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นประธานได้มีการทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังแทกส์
"ในเดือนที่ 23-25 นั้น มีปัญหามากที่สุด โดยเดือน 23 มีรถเข็นหายไป 4,200 คัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 253 ล้านบาท และเดือนที่ 24 หายไป 5,500 คัน ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจการจ้างฯได้มีการทำหนังสือแจ้งเตือนในวันที่ 3 ต.ค. 51 เพื่อพิจารณสงวนสิทธิในการยกเลิกสัญญา สงวนสิทธิเรื่องค่าปรับ ให้แทกส์รับทราบ และในเดือนที่ 25 แทกส์ ก็โดนปรับอีก 356 ล้านบาท คณะกรรมการตรวจการจ้างฯ จึงได้ทำหนังสือถึงฝ่ายบริหาร เพื่อพิจารณา" นายปิยะพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารได้มีการเรียกแทกส์เข้ามาหารือแล้วในวันที่ 20 ม.ค. 52 ที่ผ่านมา เพื่อให้แทกส์จัดหารถให้ครบตามสัญญาภายใน 30 ม.ค. 52 แต่แท็กส์ก็ได้เสนอแผนในการส่งมอบรถมาเป็นระยะเวลา 2 งวด ภายในวันที่ 31 มิ.ย. แทน ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามสัญญา และในวันที่ 2 ก.พ.52 ทางคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ จึงได้ทำหนังสือถึงฝ่ายบริหารในการขอยกเลิกสัญญา
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่าในขั้นตอนต่อไปนั้น ภายหลังจากทำหนังสือแจ้งไปยังแท็กส์ เพื่อขอยกเลิกสัญญา ทอท.จะมีการจัดหารถเข็นจากสนามบินอื่น ทั้งดอนเมือง และสนามบินภูมิภาคมาใช้ก่อน ในระยะสั้น ส่วนกรณีที่แท็กส์จะมีการฟ้องร้องนั้น ก็ต้องติดตามต่อไปว่า คำสั่งของศาลจะออกมาอย่างไร
นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า มติบอร์ดทอท.เมื่อวันที่ 23 เม.ย.52 เห็นชอบยกเลิกสัญญาการให้บริการรถเข็นกระเป๋า ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ของบริษัท ไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิช จำกัด หรือ แท็กส์ นั้นเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับความเห็นของ คณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและแนวทางการแก้ปัญหา การให้บริการรถเข็นกระเป๋า ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร สำนักงานอัยการสูงสุด และกรรมการทอท. เป็นผู้เสนอ และภายในต้นเดือนพ.ค.นี้ ทอท.จะทำหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาสัมปทานไปยังแทกส์อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้บอร์ดทอท.เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกสัญญากับบริษัทแท็กส์ ด้วยมติเอกฉันท์ 10 ต่อ 1 เสียง อย่างไรก็ตาม กรณีที่แทกส์ยืนยันจะต่อสู้ทางกฎหมาย โดยฟ้องร้องทั้งศาลปกครองและศาลแพ่ง และได้มีการระบุว่า การดำเนินการยกเลิกของ ทอท. เป็นใบสั่งจากการเมืองนั้น ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง บอร์ดทอท.ตัดสินใจบนพื้นฐานตามที่คณะอนุกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงฯ รายงานข้อมูลและบอร์ดได้มีการตัดสินด้วยการโหวต
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่า กระบวนการที่จะมีการเปิดประกวดราคาหาผู้จัดหารถเข็นใหม่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า การจัดหาบริษัทเข้ามาดำเนินการจะโปร่งใส และไม่มีกลุ่มผลประโยชน์การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีแนวคิดยกร่างทีโออาร์ และนำไปโพสต์ในเว็บไซต์ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบความโปร่งใสของทีโออาร์ได้
นายปิยะพันธ์ยืนยันว่า บอร์ดพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้มีอคติกับแทกส์ ซึ่ง คณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงฯ ได้เสนอบอร์ดให้ยกเลิกสัญญาตั้งแต่การประชุมบอร์ดชุดนี้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่บอร์ดเห็นว่า เป็นการประชุมนัดแรกยังไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
“การต่อสู้ทางข้อกฎหมายได้ แต่ประเด็นที่จะใช้ต่อสู้ ขอไม่เปิดเผยในขณะนี้ แต่มีข้อสัญญาที่ระบุไว้ชัดเจน เช่น ข้อเสนอของแทกส์ที่ระบุว่า จะเป็นผู้จัดหารถ ดูแล และรักษา รวมทั้งจะดูแลไม่ให้นำรถเข็นกระเป๋าออกไปนอกพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้น การที่เกิดปัญหารถเข็นหายจำนวนมาก จาก 9,034 คัน เหลือ 2,800 คัน จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่จะนำมาอ้างไม่สามารถจัดหารถมาให้บริการอย่างเพียงพอ” นายปิยะพันธ์กล่าว
สำหรับสัญญาสัมปทานของแทกส์ นั้นมีอายุ 7 ปี ตั้งแต่ 28 พ.ย.49–27 พ.ย. 56 วงเงินค่าจ้าง 532.86 ล้านบาท โดยแยกเป็นการจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน รวม 84 เดือน หรือคิดเป็น 6.34 ล้านบาทต่อเดือน โดยตามสัญญานั้นได้ระบุว่า แท็กส์จะต้องมีจำนวนรถเข็นกระเป๋าจำนวน 9,034 คัน และมีค่าปรับกรณีที่จำนวนรถเข็นขาดหายไม่สามารถให้บริการได้เป็นเงิน 2,000 บาท ต่อคัน ต่อวัน
โดยจากการตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.-27 ค.ต.49 ซึ่งเป็นเดือนแรกในการให้บริการของแทกส์ พบว่า มีจำนวนรถเข็นขาดจำนวน 176 คัน เป็นเวลา 7 วัน ทำให้แทกส์ต้องเสียค่าปรับจำนวน 2.46 ล้านบาท และเดือนที่ 2 มีจำนวนรถเข็นขาดจำนวน176 คัน เป็นเวลา 3 วัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 1.56 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 3 - 5 นั้น มีจำนวนรถเข็นครบจำนวนตามสัญญา
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่า แทกส์มีปัญหารถเข็นกระเป๋าขาดหาย และเสียค่าปรับตั้งแต่เดือนแรกในการให้บริการ แต่ในช่วงที่เริ่มมีปัญหามากอยู่ในช่วงเดือนที่ 22 หลังจากการตรวจสอบมีรถเข็นหายไปถึง 340 คัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 20 ล้านบาท และทางคณะกรรมการตรวจการจ้าง ที่มีร.ท.ต่อศักดิ์ นิงสานนท์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นประธานได้มีการทำหนังสือแจ้งเตือนไปยังแทกส์
"ในเดือนที่ 23-25 นั้น มีปัญหามากที่สุด โดยเดือน 23 มีรถเข็นหายไป 4,200 คัน คิดเป็นค่าปรับจำนวน 253 ล้านบาท และเดือนที่ 24 หายไป 5,500 คัน ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจการจ้างฯได้มีการทำหนังสือแจ้งเตือนในวันที่ 3 ต.ค. 51 เพื่อพิจารณสงวนสิทธิในการยกเลิกสัญญา สงวนสิทธิเรื่องค่าปรับ ให้แทกส์รับทราบ และในเดือนที่ 25 แทกส์ ก็โดนปรับอีก 356 ล้านบาท คณะกรรมการตรวจการจ้างฯ จึงได้ทำหนังสือถึงฝ่ายบริหาร เพื่อพิจารณา" นายปิยะพันธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารได้มีการเรียกแทกส์เข้ามาหารือแล้วในวันที่ 20 ม.ค. 52 ที่ผ่านมา เพื่อให้แทกส์จัดหารถให้ครบตามสัญญาภายใน 30 ม.ค. 52 แต่แท็กส์ก็ได้เสนอแผนในการส่งมอบรถมาเป็นระยะเวลา 2 งวด ภายในวันที่ 31 มิ.ย. แทน ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามสัญญา และในวันที่ 2 ก.พ.52 ทางคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ จึงได้ทำหนังสือถึงฝ่ายบริหารในการขอยกเลิกสัญญา
นายปิยะพันธ์ กล่าวว่าในขั้นตอนต่อไปนั้น ภายหลังจากทำหนังสือแจ้งไปยังแท็กส์ เพื่อขอยกเลิกสัญญา ทอท.จะมีการจัดหารถเข็นจากสนามบินอื่น ทั้งดอนเมือง และสนามบินภูมิภาคมาใช้ก่อน ในระยะสั้น ส่วนกรณีที่แท็กส์จะมีการฟ้องร้องนั้น ก็ต้องติดตามต่อไปว่า คำสั่งของศาลจะออกมาอย่างไร
