ASTVผู้จัดการรายวัน-“ปิยะพันธ์”ปิ๊งไอเดีย สั่งทอท.ศึกษาแบ่งส่วนขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ดึงลงทุนอาคารผู้โดยสารและรันเวย์เส้นที่ 3ทำก่อนประมาณหมื่นล้านบาท เป็นอาคารผู้โดยสารประเภท Budget Terminal ชี้ภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อลงทุนทั้งระบบที่สูงกว่า 7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผู้โดยสารเติบโตเร็ว ชี้แบ่งส่วนทำก่อนเสร็จใน 2-3 ปี รับผู้โดยสารเพิ่มอีก 10-15 ล้านคนต่อสุดคุ้ม เผย 26 มี.ค. ยุติปัญหาปัญหา รถเข็นกระเป๋าแน่นอน ชี้ยืดเยื้อกระทบภาพลักษณ์ลั่น ทำงานเชิงรุก ติดตาม แก้ไขทำไม่ได้ จัดการคนรับผิดชอบ
นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า จะให้ฝ่ายบริหารทอท.ไปพิจารณาปรับรูปแบบการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โดยแบ่งส่วนงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและทางวิ่งเส้นที่ 3 มาดำเนินการก่อน เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินโครงการพัฒนาสุวรรณภูมิทั้งหมด ต้องลงทุนสูงถึง 7.78 หมื่นล้านบาท และต้องใช้ระยะเวลา 7-8 ปี อาจจะล่าช้าไม่ทันกับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารและทำให้การให้บริการไม่สะดวก ในขณะที่แบ่งส่วนอาคารผู้โดยสารและทางวิ่งเส้นที่ 3 มาทำก่อนจะลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท และสามารถดำเนินการได้ภายใน 2-3 ปี รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีกประมาณ 10-15 ล้านคนต่อปีส่วนการพัฒนาสุวรรณภูมิเฟส 2 เต็มระบบ ให้ดำเนินการแบบคู่ขนาน
นายปิยะพันธ์กล่าวว่า จะหารือกับฝ่ายบริหารทอท.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแนวทางการดำเนินการดังกล่าวและหารือในที่ประชุมคณะกรรมการทอท.ต่อไปพร้อมกับรายงานแนวทางการดำเนินงานดังกล่าวต่อนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะได้รับความเห็นชอบเพราะเป็นการปรับแนวทางการดำเนินงานให้มีความเป็นไปได้และสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่เหมาะกับการลงทุนสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท หากทำทั้ง100%
“ผมเห็นว่า อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่อยู่ในแผนของการขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ลงทุนไม่มาก หากรวมกับระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกและถนนเชื่อมต่างๆ ไม่เกิน10,000 ล้านบาท และจะหารือกับฝ่ายบริหารทอท.ในการเกลี่ยสายการบินมาใช้บริการที่อาคารผู้โดยสารนี้อย่างไร อาจจะเป็นอาคารผู้โดยสารประเภทBudget Terminal ก็ได้ ส่วนปัญหาสิ่งแวดล้อมของการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ก็ต้องเดินหน้าทำไปด้วย ซึ่งมั่นใจว่า ในระหว่างดำเนินการเรื่องอาคารผู้โดยสารหลังใหม่กระบวนการด้านสิ่งแวดล้อมของรันเวย์ที่ 3 น่าจะได้ข้อยุติ และสามารถก่อสร้างได้ใน 2 ปีนี้ เช่นกัน และยื่นยัน ไม่มีการล้มแผน เฟส 2 แต่เป็นการปรับปรุงแยกส่วนมาทำก่อน”นายปิยะพันธ์กล่าว
สำหรับวงเงินการลงทุนสุวรรณภูมิเฟส 2 นั้นมูลค่ารวม 7.78 หมื่นล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 5 กลุ่มงาน คือ 1. การชดเชยผลกระทบทางเสียงจากการดำเนินงานวงเงิน 7,249.6 ล้านบาท 2. กลุ่มงาน Airfield Pavement มี งานก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 วงเงิน 3,746.870 ล้านบาท 3. กลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ประกอบด้วยงานออกแบบและก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 วงเงิน 27,864.653 ล้านบาท งานก่อสร้างลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 วงเงิน 4,907.34 ล้านบาท งานออกแบบและก่อสร้างส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้วงเงิน 4,930.812 ล้านบาท งานออกแบบและติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสาร (APM) วงเงิน 3,042.260
4. กลุ่มงานอาคารผู้โดยสาร ประกอบด้วย งานออกแบบและก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก วงเงิน 6,780.190 ล้านบาท งานออกแบบและก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก วงเงิน 625.671 ล้านบาท 5. กลุ่มงานระบบสาธารณูปโภค ประกอบด้วย งานออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภควงเงิน 2,693.219 ล้านบาท และ 6. งานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ (PMC) วงเงิน810 ล้านบาท
26 มี.ค. ฟันธงเลิกไม่เลิกสัญญารถเข็นกระเป๋าเจ้าปัญหา
สำหรับปัญหารถเข็นกระเป๋าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น นายปิยะพันธ์กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ดทอท.วันที่ 26 มี.ค. จะได้ข้อยุติแน่นอน ซึ่งคณะกรรมการที่บอร์ดตั้งให้ไปศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายจะสรุปผลพร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหาเสนอเข้ามา ว่า หากต้องเลิกสัญญากับบริษัทไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานดำเนินการจัดหาและบริหารรถเข็นกระเป๋า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต้องดำเนินการอย่างไรและหากไม่เลิกสัญญาต้องดำเนินการอย่างไร
“แม้บอร์ดจะเพิ่งเข้ามาทำงานแต่ก็ต้องเร่งหาทางออกปัญหานี้ได้ เพราะปัญหารถเข็นกระเป๋าเกิดขึ้นมานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของสนามบินสุวรรณภูมิและเป็นนโยบายที่ผมจะทำงานเชิงรุก ไม่รอรับรายงานเหมือนเดิมแต่จะจี้ให้แก้ไขปัญหา ว่ามีแนวทางอย่างไร และจะแก้ปัญหานั้นๆ จบเมื่อไร ทุกเรื่องต้องมีเจ้าภาพรับผิดชอบหากทำไม่ได้เจ้าภาพก็ต้องรับผิดชอบ”นายปิยะพันธ์กล่าว
นายปิยะพันธ์ จัมปาสุต ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า จะให้ฝ่ายบริหารทอท.ไปพิจารณาปรับรูปแบบการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โดยแบ่งส่วนงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารและทางวิ่งเส้นที่ 3 มาดำเนินการก่อน เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินโครงการพัฒนาสุวรรณภูมิทั้งหมด ต้องลงทุนสูงถึง 7.78 หมื่นล้านบาท และต้องใช้ระยะเวลา 7-8 ปี อาจจะล่าช้าไม่ทันกับการขยายตัวของจำนวนผู้โดยสารและทำให้การให้บริการไม่สะดวก ในขณะที่แบ่งส่วนอาคารผู้โดยสารและทางวิ่งเส้นที่ 3 มาทำก่อนจะลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท และสามารถดำเนินการได้ภายใน 2-3 ปี รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีกประมาณ 10-15 ล้านคนต่อปีส่วนการพัฒนาสุวรรณภูมิเฟส 2 เต็มระบบ ให้ดำเนินการแบบคู่ขนาน
นายปิยะพันธ์กล่าวว่า จะหารือกับฝ่ายบริหารทอท.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแนวทางการดำเนินการดังกล่าวและหารือในที่ประชุมคณะกรรมการทอท.ต่อไปพร้อมกับรายงานแนวทางการดำเนินงานดังกล่าวต่อนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งคาดว่าจะได้รับความเห็นชอบเพราะเป็นการปรับแนวทางการดำเนินงานให้มีความเป็นไปได้และสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่เหมาะกับการลงทุนสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท หากทำทั้ง100%
“ผมเห็นว่า อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่อยู่ในแผนของการขยายสุวรรณภูมิเฟส 2 ลงทุนไม่มาก หากรวมกับระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกและถนนเชื่อมต่างๆ ไม่เกิน10,000 ล้านบาท และจะหารือกับฝ่ายบริหารทอท.ในการเกลี่ยสายการบินมาใช้บริการที่อาคารผู้โดยสารนี้อย่างไร อาจจะเป็นอาคารผู้โดยสารประเภทBudget Terminal ก็ได้ ส่วนปัญหาสิ่งแวดล้อมของการก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 ก็ต้องเดินหน้าทำไปด้วย ซึ่งมั่นใจว่า ในระหว่างดำเนินการเรื่องอาคารผู้โดยสารหลังใหม่กระบวนการด้านสิ่งแวดล้อมของรันเวย์ที่ 3 น่าจะได้ข้อยุติ และสามารถก่อสร้างได้ใน 2 ปีนี้ เช่นกัน และยื่นยัน ไม่มีการล้มแผน เฟส 2 แต่เป็นการปรับปรุงแยกส่วนมาทำก่อน”นายปิยะพันธ์กล่าว
สำหรับวงเงินการลงทุนสุวรรณภูมิเฟส 2 นั้นมูลค่ารวม 7.78 หมื่นล้านบาทนั้น ประกอบด้วย 5 กลุ่มงาน คือ 1. การชดเชยผลกระทบทางเสียงจากการดำเนินงานวงเงิน 7,249.6 ล้านบาท 2. กลุ่มงาน Airfield Pavement มี งานก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 วงเงิน 3,746.870 ล้านบาท 3. กลุ่มงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ประกอบด้วยงานออกแบบและก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 วงเงิน 27,864.653 ล้านบาท งานก่อสร้างลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 วงเงิน 4,907.34 ล้านบาท งานออกแบบและก่อสร้างส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้วงเงิน 4,930.812 ล้านบาท งานออกแบบและติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสาร (APM) วงเงิน 3,042.260
4. กลุ่มงานอาคารผู้โดยสาร ประกอบด้วย งานออกแบบและก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก วงเงิน 6,780.190 ล้านบาท งานออกแบบและก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก วงเงิน 625.671 ล้านบาท 5. กลุ่มงานระบบสาธารณูปโภค ประกอบด้วย งานออกแบบและก่อสร้างระบบสาธารณูปโภควงเงิน 2,693.219 ล้านบาท และ 6. งานจ้างที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการ (PMC) วงเงิน810 ล้านบาท
26 มี.ค. ฟันธงเลิกไม่เลิกสัญญารถเข็นกระเป๋าเจ้าปัญหา
สำหรับปัญหารถเข็นกระเป๋าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น นายปิยะพันธ์กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ดทอท.วันที่ 26 มี.ค. จะได้ข้อยุติแน่นอน ซึ่งคณะกรรมการที่บอร์ดตั้งให้ไปศึกษาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายจะสรุปผลพร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหาเสนอเข้ามา ว่า หากต้องเลิกสัญญากับบริษัทไทยแอร์พอร์ต กราวด์ เซอร์วิสเซส จำกัด (แทกส์) ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานดำเนินการจัดหาและบริหารรถเข็นกระเป๋า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต้องดำเนินการอย่างไรและหากไม่เลิกสัญญาต้องดำเนินการอย่างไร
“แม้บอร์ดจะเพิ่งเข้ามาทำงานแต่ก็ต้องเร่งหาทางออกปัญหานี้ได้ เพราะปัญหารถเข็นกระเป๋าเกิดขึ้นมานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของสนามบินสุวรรณภูมิและเป็นนโยบายที่ผมจะทำงานเชิงรุก ไม่รอรับรายงานเหมือนเดิมแต่จะจี้ให้แก้ไขปัญหา ว่ามีแนวทางอย่างไร และจะแก้ปัญหานั้นๆ จบเมื่อไร ทุกเรื่องต้องมีเจ้าภาพรับผิดชอบหากทำไม่ได้เจ้าภาพก็ต้องรับผิดชอบ”นายปิยะพันธ์กล่าว
