xs
xsm
sm
md
lg

สปสช.ชี้หั่นงบบัตรทองไม่กระทบ ขออย่าตัดเงินบริหาร1.8พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า สปสช. ได้เสนอของบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในปี 2553 จำนวน 2,694 บาทต่อหัวประชากร แต่ ครม.มีมติ อนุมัติให้2,406.32 บาทต่อหัวประชากร โดยเสนอไปทั้งสิ้น 5 กองทุน คือ 1กองทุนงบเหมาจ่ายรายหัว จำนวน 2,694 บาทต่อหัวประชากร 2 กองทุนเอดส์ เสนอขอไป 2,900 ล้านบาท 3 กองทุนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เสนอขอ 1,900 ล้านบาท 4 กองทุนโรคเรื้อรัง เสนอขอ 1,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนทั้ง 4 ได้ถูกรัฐบาลตัดทอนงบประมาณ และ 5 กองทุนด้านบริหารเสนอขอไปจำนวน 1,800 ล้านบาท ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังไม่มีการพิจารณา
สำหรับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวที่ถูกตัดทอนออกจากที่เสนอไป ประมาณ 300 บาทต่อหัวประชากร ส่วนหนึ่งเป็นงบค่าตอบแทนบุคลากร จำนวน 60 บาทต่อหัวประชาชน ซึ่งส่วนนี้นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาสาธารณสุข(สธ.) จะมีการเสนอของบเพิ่มจากครม.ให้ได้คืนมา ซึ่งได้รับรายงานว่านายกรัฐมนตรีฯ ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว แต่ในการจัดสรรงบประมาณจะทำได้หรือไม่ ต้องรอให้มีการพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งหากไม่ได้สธ. ก็จะต้องเสนอของบประมาณส่วนนี้ทดแทน
นอกจากนี้ยังมีการตัดงบส่งเสริมพัฒนาระบบปฐมภูมิ ซึ่งสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ได้ให้เหตุว่าว่า ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือ สธ. เป็นผู้เสนอของบส่วนนี้แทน นอกจากนี้ยังมีการตัดทอนงบในส่วนที่ สปสช.ได้ประมาณการความจำเป็นในการรักษาพยาบาลในอนาคตของประชาชน รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อ ความถี่ในการใช้บริการ และจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่จะเพิ่มขึ้นจากปัญหาว่างงานด้วย ซึ่งหากมีประชาชนมาลงทะเบียนใช้สิทธิ์โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากกว่าจำนวนที่สปสช. เสนอของบไปคือ เกินกว่า 47.2 ล้านคน สปสช. จะเสนอของบกลางจากรัฐบาลมาช่วยเหลือทันที
“แม้ว่าจะถูกตัดงบด้านรักษาพยาบาล แต่หากรัฐบาลอนุมัติประมาณในส่วนของกองทุนด้านบริหารโครงการให้ได้ตามที่เสนอขอไป 1,800 ล้านบาท ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริการด้านสุขภาพของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพราะสปสช.สามารถนำงบประมาณบริหารมาพัฒนาระบบบริหารจัดการโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การมีเงินกองทุนน้อยไม่เป็นปัญหา เพราะหากมีการบริการจัดการกองทุนดีก็ทำให้กองทุนมีความยั่งยืนได้ แต่หากการบริการจัดการไม่ได้แม้จะมีเงินกองทุนมากก็อาจจะมีปัญหาได้” นพ.วินัย กล่าว
สำหรับงบกองทุนเอดส์ และกองทุนไต ที่ถูกตัดไปเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้มีการใช้นโยบายสิทธิเหนือสิทธิบัตร(ซีแอล) ทำให้ประหยัดงบประมาณลงได้เยอะ รวมทั้งการตรวจปริมาณเม็ดเลือดขาวในผู้ป่วยเอดส์ สปสช.สามารถเจรจาลดราคาลงมาได้จากครั้งละ 2,000 บาท เหลือ 1,400 บาท รวมถึงลดเป้าหมายผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องได้รับยาลง ส่วนงบประมาณกองทุนไต ถูกตัดทอนในส่วนของการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 300 คน ในปี 2552 แต่ขณะนี้ทำได้เพียง 10 ราย ไม่ตรงตามเป้าหมาย ในปี 2553 จึงลดเป้าหมายในส่วนดังกล่าวลง" นพ.วินัย กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณดูแลโรคเรื้อรัง ซึ่งเสนอขอไป 1,000 ล้าน แต่ได้รับการอนุมัติ 300 ล้านบาท การที่เสนองบประมาณแยกออกมาเพราะโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน ความดันสูง เป็นต้นเหตุการป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูง หากสามารถคัดกรองเพื่อลดปริมาณการป่วยได้ก็จะทำให้ไม่ต้องใช้งบประมาณการรักษาที่สูง สาเหตุที่ไม่ได้รับงบประมาณตามเป้าหมาย เพราะยังติดปัญหาเรื่องบุคลากรและสถานพยาบาลเพื่อรองรับการทำงาน จึงเลื่อนการดำเนินการในปีถัดไปแทน
กำลังโหลดความคิดเห็น