เอเอฟพี – ลอยด์ แบลงค์เฟน ประธานและซีอีโอของโกลด์แมนแซคส์ กล่าวเมื่อวันอังคาร (7)ว่าผลประกอบการของบริษัทควรจะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่บรรดาลูกจ้าง การพูดเช่นนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธแนวคิดที่ฝังรากในอุตสาหกรรมการเงินที่ว่า จะต้องให้โบนัสแก่ลูกจ้างโดยเฉพาะในระดับผู้บริหารแม้ว่าธุรกิจจะย่ำแย่เพียงใดก็ตาม โดยความคิดเช่นนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ของประชาชนอเมริกันมาแล้วหลาย ๆกรณี อาทิ กรณีเอไอจี
“พนักงานของบริษัทควรจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น หากว่าผลประกอบการของบริษัทออกมาแข็งแกร่ง และในขณะที่บริษัทย่ำแย่พวกเขาก็ควรจะร่วมรับสภาพกับบริษัทด้วยเช่นกัน” แบลงค์เฟน กล่าวในการประชุมนักลงทุนระดับสถาบันที่มีขึ้นในวอชิงตัน
เขาระบุอีกว่าผลการปฏิบติงานของพนักงานแต่ละคนนั้นไม่ควรจะได้รับการพิจารณาจากความสามารถในการทำงานของแต่ละคนโดยแยกออกมาจากปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานะการเงินของบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์เรื่องเอไอจีจ่ายโบนัสให้กับพนักงานไปมากกว่า 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในขณะที่สถานะการเงินยังร่อแร่ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นจำนวนถึง 180,000 ล้านดอลลาร์ เพราะขาดทุนไปถึง 99,300 ล้านในปี 2008
แบลงเฟนกล่าวว่าเขาชอบวิธีการใช้ค่าตอบแทนที่รวมเงินได้รายปีและตราสารอนุพันธ์ออปชั่นหุ้นไว้ด้วยกัน เพราะยิ่งได้รับค่าตอบแทนมากเท่าไร สัดส่วนค่าตอบแทนที่เป็นหลักทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้น
“สำหรับพนักงานอาวุโส หลักทรัพย์น่าจะเป็นส่วนประกอบใหญ่ที่สุดในค่าตอบแทนของพวกเขา ในขณะที่พนักงานระดับล่าง ๆเท่านั้นที่จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินสด” เขาชี้
นอกจากนี้เขายังเสนอด้วยว่าบริษัทควรจะประเมินผลงานของพนักงานย้อนหลังไปหลาย ๆปี เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้ดำเนินงานด้วยความเสี่ยง และจะทำให้พนักงานตั้งใจทำงานในระยะยาว โดยเฉพาะการให้ค่าตอบแทนที่เป็นหลักทรัพย์นั้นน่าจะขึ้นอยู่กับการประเมินผลการทำงานราวสามปี
นอกจากนี้ผู้บริหารระดับอาวุโส ไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้ขายหลักทรัพย์ที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทนจนกว่าจะเกษียณอายุไปจากบริษัทแล้ว
“ค่าตอบแทนก็ควรจะสะท้อนถึงความสามารถของบุคคลในการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการทุ่มเทเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ลูกค้า ส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัท ตลอดจนทำให้เกิดประสิทธิภาพขึ้นในตลาดการเงินและตลาดทุนต่าง ๆ” เขากล่าว
หลังจากที่รายได้ไตรมาสสามปีที่แล้วของโกลด์แมนแซคส์ดิ่งลง 70% จากปีก่อนหน้า ท่ามกลางวิกฤตการเงินโลกที่รุนแรง ในเดือนกันยายน บริษัทก็ได้แปลงสภาพตนเองจากวาณิชธนกิจมาเป็นบริษัทโฮลดิ้งของธนาคาร ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงเม็ดเงินช่วยเหลือจากธนาคารกลางที่มีไว้ให้ธนาคารพาณิชย์ได้
และเมื่อถึงสิ้นเดือนตุลาคม โกลด์แมนแซคส์ก็ได้รับเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลภายโครงการของเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังคนก่อน
ในเดือนพฤศจิกายน โกลด์แมนแซคส์ก็ประกาศว่าแบลงค์เฟนและผู้บริหารระดับสูงอีกหกคนจะไม่รับโบนัสปี 2008 อันเนื่องมาจากผลประกอบการย่ำแย่ของบริษัท
“พนักงานของบริษัทควรจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น หากว่าผลประกอบการของบริษัทออกมาแข็งแกร่ง และในขณะที่บริษัทย่ำแย่พวกเขาก็ควรจะร่วมรับสภาพกับบริษัทด้วยเช่นกัน” แบลงค์เฟน กล่าวในการประชุมนักลงทุนระดับสถาบันที่มีขึ้นในวอชิงตัน
เขาระบุอีกว่าผลการปฏิบติงานของพนักงานแต่ละคนนั้นไม่ควรจะได้รับการพิจารณาจากความสามารถในการทำงานของแต่ละคนโดยแยกออกมาจากปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานะการเงินของบริษัท ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์เรื่องเอไอจีจ่ายโบนัสให้กับพนักงานไปมากกว่า 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในขณะที่สถานะการเงินยังร่อแร่ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นจำนวนถึง 180,000 ล้านดอลลาร์ เพราะขาดทุนไปถึง 99,300 ล้านในปี 2008
แบลงเฟนกล่าวว่าเขาชอบวิธีการใช้ค่าตอบแทนที่รวมเงินได้รายปีและตราสารอนุพันธ์ออปชั่นหุ้นไว้ด้วยกัน เพราะยิ่งได้รับค่าตอบแทนมากเท่าไร สัดส่วนค่าตอบแทนที่เป็นหลักทรัพย์ก็จะเพิ่มขึ้น
“สำหรับพนักงานอาวุโส หลักทรัพย์น่าจะเป็นส่วนประกอบใหญ่ที่สุดในค่าตอบแทนของพวกเขา ในขณะที่พนักงานระดับล่าง ๆเท่านั้นที่จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินสด” เขาชี้
นอกจากนี้เขายังเสนอด้วยว่าบริษัทควรจะประเมินผลงานของพนักงานย้อนหลังไปหลาย ๆปี เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้ดำเนินงานด้วยความเสี่ยง และจะทำให้พนักงานตั้งใจทำงานในระยะยาว โดยเฉพาะการให้ค่าตอบแทนที่เป็นหลักทรัพย์นั้นน่าจะขึ้นอยู่กับการประเมินผลการทำงานราวสามปี
นอกจากนี้ผู้บริหารระดับอาวุโส ไม่ควรที่จะได้รับอนุญาตให้ขายหลักทรัพย์ที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของค่าตอบแทนจนกว่าจะเกษียณอายุไปจากบริษัทแล้ว
“ค่าตอบแทนก็ควรจะสะท้อนถึงความสามารถของบุคคลในการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการทุ่มเทเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ลูกค้า ส่งเสริมชื่อเสียงของบริษัท ตลอดจนทำให้เกิดประสิทธิภาพขึ้นในตลาดการเงินและตลาดทุนต่าง ๆ” เขากล่าว
หลังจากที่รายได้ไตรมาสสามปีที่แล้วของโกลด์แมนแซคส์ดิ่งลง 70% จากปีก่อนหน้า ท่ามกลางวิกฤตการเงินโลกที่รุนแรง ในเดือนกันยายน บริษัทก็ได้แปลงสภาพตนเองจากวาณิชธนกิจมาเป็นบริษัทโฮลดิ้งของธนาคาร ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงเม็ดเงินช่วยเหลือจากธนาคารกลางที่มีไว้ให้ธนาคารพาณิชย์ได้
และเมื่อถึงสิ้นเดือนตุลาคม โกลด์แมนแซคส์ก็ได้รับเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลภายโครงการของเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังคนก่อน
ในเดือนพฤศจิกายน โกลด์แมนแซคส์ก็ประกาศว่าแบลงค์เฟนและผู้บริหารระดับสูงอีกหกคนจะไม่รับโบนัสปี 2008 อันเนื่องมาจากผลประกอบการย่ำแย่ของบริษัท