xs
xsm
sm
md
lg

สงครามแดงเพิ่งเริ่มต้น!

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ก่อนที่จะทำใจให้เชื่อว่า กลุ่ม นปช. หรือ กลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้โจมตีขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้นไม่ได้เป็นการโจมตีที่สถาบันองคมนตรี หรือทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ คงจะต้องไปดูเรื่องราวในอดีตย้อนหลังไปว่าพฤติการณ์ของคนเหล่านี้มีความต้องการโจมตีองคมนตรีบางคนเท่านั้น หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นการ “อำพราง” กันแน่?

เอาเฉพาะคนที่เป็นแกนนำ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราศรัยบนเวที นปช. หรือ คนเสื้อแดงในช่วงเวลา 2- 3 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง?

วันที่ 8 พฤษภาคม 2551 นายเหวง โตจิราการ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. ได้ล่ารายชื่อประชาชนซึ่งเป็นฐานเสียงพรรคพลังประชาชนจำนวนหนึ่งมายื่นต่อประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นการเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่มีบทเฉพาะกาลรับรองสถานภาพองคมนตรีทั้งคณะ

วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาเนื้อหาใจความไม่ต่างจากร่างของนายเหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย คือ ไม่มีบทเฉพาะกาลรับรองสถานภาพองคมนตรีทั้งคณะเช่นเดียวกัน

นี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญถึงเจตนาในการล้มล้างพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญรองรับเอาไว้อย่างชัดเจนเพียงพอหรือไม่!?

นอกจากนี้ยังมีผู้คนที่ได้เคยขึ้นเวทีปราศรัยกับคนเสื้อแดงและแนวร่วมที่ได้ถูกกล่าวหา ถูกดำเนินคดี หรือถูกออกหมายจับ ในข้อหาจาบจ้วง ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หลายต่อหลายกรณี เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข นายวีระ มุสิกพงศ์ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ นายเพชวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล นายสุชาติ นาคบางไทร นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง และนายใจ อึ๊งภากรณ์ เป็นต้น

คนเหล่านี้ตามรายชื่อข้างต้นไม่ใช่สามารถหาได้บนเวทีสีอื่นใดได้ นอกจากมารวมตัวกันทำกิจกรรมบนเวทีของคนเสื้อแดงเท่านั้น!

ยังไม่นับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 ที่มีกิจกรรมในบริเวณการปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดงรณรงค์ล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกายกเลิกกฎหมายลงโทษผู้ที่ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้วตามด้วยการออกแถลงการณ์สยามแดง ของนายใจ อึ๊งภากรณ์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งดูหมิ่นและใส่ร้ายพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงที่สุด

นี่คือพฤติการณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเวที นปช. หรือคนเสื้อแดง ซึ่งอาจทำให้หลายคนไม่สามารถจะเชื่อมั่นได้ว่าการลดเป้าหมายโจมตีที่มุ่งหวังกำจัด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้นเป็นความไม่พอใจในตัวบุคคลจริงๆ หรือเป็นการลดเป้าหมายเพียงเพื่ออำพรางตัวในวันนี้ และหวังที่จะกัดกร่อนโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ในวันหน้า?

ถ้าการปราศรัยวิดีโอลิงก์ของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่ลดเป้าหมายเป็นการโจมตีองคมนตรีบางคนเพียงเพื่ออำพราง ก็น่าจะมีความคาดหวังที่จะขยายแนวร่วมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงขั้นที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรได้เปลี่ยนท่าทีไปเชื้อเชิญคนสวมเสื้อสีเหลืองเข้ามาร่วมขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบทักษิณ และยอมแก้ต่างแทนคนเสื้อเหลืองในการยึดสนามบินว่าเป็นฝีมือทหาร ตามการปราศรัยของนักโทษชายทักษิณ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2552 ความตอนหนึ่งว่า:

“คนเสื้อเหลืองเสื้อแดงคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าเสื้อเหลืองส่วนใหญ่ ยกเว้นทหารได้เข้าไปยึดสนามบิน ได้เข้าใจข้อมูลผิดๆ ก็เลยไปรวมตัวกัน แต่ทั้งสองเสื้อสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือรักชาติรักประเทศไทย รักพระเจ้าอยู่หัว อยากเห็นเมืองไทยเจริญ”

นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้มีวิวัฒนาการในการเรียนรู้การปราศรัยกับผู้ชุมนุม จนถึงขั้นยอมอำพรางเป้าหมายการโจมตีของตัวเองลง เพื่อสร้างแนวร่วมในการเปลี่ยนแปลงระบบก่อน แล้วให้ตัวเองได้ประโยชน์ในภายหลังจากการเปลี่ยนระบบ ใช่หรือไม่?

ลองมาดูข้อเรียกร้องของทักษิณ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 ที่ได้ปราศรัยเอาไว้ความตอนหนึ่งว่า:

“ทางออกก็คือ เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ วันนี้ที่เราสู้กัน ฟ้องกันไปมาว่าไอ้นั่นจะติดคุก ไอ้นี่จะติดคุก ไม่มีใครยอมใครจริงๆ…….เราต้องการความชอบธรรมให้กระบวนการถูกต้อง ให้ประชาชนตัดสิน วันนี้ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญใหม่ ต้องเอารัฐธรรมนูญ 40 เป็นตัวตั้ง เรื่องที่ฟ้องกันไปมาต้องยกเลิก ไม่ใช่เพื่อผม แต่วันนี้มันล่อกันไปมา จึงต้องออกเพื่อให้เริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ทุกคนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ไม่ต้องบอยคอต ผมไม่ลง พรรคประชาธิปัตย์จะได้สบายใจ แต่ให้ทั้ง 111 ลงซะ”

สรุปว่านักโทษชายทักษิณในวันที่ 27 มีนาคม 2552 เรียกร้องการนิรโทษกรรม ยกเลิกคดีฟ้องร้องทั้งหมด จะฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่มาจากประชามติแล้วกลับมาใช้ปี 40 จะขอยุบสภาเพื่อให้เลือกตั้งใหม่

เป้าหมายบรรลุเมื่อใด นักโทษชายทักษิณก็จะได้อิสรภาพเงิน 76,000 ล้านบาทที่ถูกอายัด และได้อำนาจรัฐกลับคืนมา ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น

เพื่อขยายแนวร่วม นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ปราศรัยยื่นข้อเรียกร้องใหม่เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2552 โดยการลดเงื่อนไขการนิรโทษกรรมตัวเองที่แสนอัปลักษณ์ออกไปเพื่อให้แนบเนียนขึ้นกว่าเดิมว่า:

“วันที่ 8 เมษายน เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราขอรัฐธรรมนูญปี 2540 ฉบับประชาชนกลับคืนมา มีข้อบกพร่องก็แก้ไขได้ เพื่อแก้ปัญหาของชาติ เราต้องการให้ยุบสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ให้เลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ 2540 เลิก ส.ว. แต่งตั้ง องค์กรอิสระที่ไม่อิสระอย่างแท้จริง ให้รักษาการไปก่อนจนได้ ส.ส. และ ส.ว. แล้วค่อยมาคัดสรรใหม่ คืนสิทธิให้นักการเมืองที่ถูกแบนเสีย”

นักโทษชายทักษิณเลี่ยงการใช้คำว่าขอให้ยกเลิกคดีความฟ้องร้องต่อกัน มาเป็นให้ยุบสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันทิ้ง และให้มีเลือกตั้งวุฒิสภาแบบเดิมที่มีความสัมพันธ์เป็นสภาผัวเมียกับสภาผู้แทนราษฎรกันที่แยกไม่ออก แล้วให้มาเป็นผู้คัดสรรองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อไปจัดการกับคดีความของตัวเองที่มีอยู่ทั้งหมดในภายหลัง ใช่หรือไม่?

ถามว่าที่ผ่านมาในเงื่อนไขที่ว่าข้างต้นนั้น นักโทษชายทักษิณ เจรจาต่อรองกับใคร ในเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อให้ตัวเองกลับมาประเทศไทย โดยได้รับอำนาจรัฐที่จะไปแก้ไขเรื่องอิสรภาพ และทรัพย์สินของตัวเองที่ถูกอายัดเอาไว้?

นักโทษชายทักษิณ ได้เคยปราศรัยเอาไว้โดยการถ่ายทอดวิดีโอเข้ามาที่สนามรัชมังคลากีฬาสถานเมื่อ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2551 ความตอนหนึ่งว่า:

“ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน จริงไหมครับ”

ประโยคที่ให้เลือกในการต่อรองเพื่อให้ตัวเองกลับมาประเทศไทยแบบได้อิสรภาพ ทรัพย์สิน และอำนาจนั้น มีแค่ 2 ทางเลือก ระหว่าง “พระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” หรือไม่ก็ “พลังของพี่น้องประชาชน”

การพูดลักษณะนี้อาจจะทำให้คนที่ได้รับฟังเข้าใจหรือแปลความไปได้ว่านี่คือการ “ข่มขู่” ใช่หรือไม่?

5 เดือนเศษหลังจากวันนั้นที่ต่อรองเพื่อการกลับมาประเทศไทยของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ไม่มีคำว่า “พระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” หลุดออกมาจากปากนักโทษชายทักษิณอีกเลย คงเหลือแต่เงื่อนไขอื่นทั้งการเจรจาและการกลับมาของตัวเองดังการปราศรัยของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรดังต่อไปนี้

30 มีนาคม 2552 “บอกได้เลย ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชนผมจะเดินเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที ผมจะไม่ยอมอีกแล้วให้กับเผด็จการ"

3 เมษายน 2552 “ผมไม่เจรจา เพราะวันนี้เป็นเรื่องของชาติ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมไม่มีอำนาจไปเจรจา ใครที่บอกว่าจะเจรจากับผมนั้นบอกได้แค่ว่ามีแต่ราคาคุย ข้อเท็จจริงคือผมกำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง และเพื่อแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ให้เกิดปัญหาอีก”

และวันนี้นักโทษชายทักษิณเลือกใช้ “พลังของพี่น้องประชาชนเพื่อ “แก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ที่ชุมนุมตะโกนขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี และองคมนตรี ทั้งๆ ที่เป็นตำแหน่งที่เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่มาจากกระบวนการรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของนักโทษชายทักษิณที่เคยได้ปราศรัยก่อนหน้านี้

เป้าหมายที่แท้จริงเพื่อ “อิสรภาพ ทรัพย์สิน และอำนาจ” โดยการฉีกรัฐธรรมนูญก็ดี หรือกฎหมายปรองดองแห่งชาติเพื่อนิรโทษกรรมตัวเองก็ดี หรือยุบสภาก็ดี ฝ่ายทักษิณก็ยังไม่สามารถได้เสียงส่วนใหญ่ในสภาได้ตราบใดที่ยังต่อรองผลประโยชน์กันไม่ลงตัว และถึงแม้จะรวบรวมเสียงได้ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านด่านการวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้

ถ้าการชุมนุมปราศจากความรุนแรง และถ้าฝ่ายอำนาจรัฐก็ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีวันเสียงปืนแตก กลุ่มคนเสื้อแดงต่อให้ชุมนุมกันไปตลอดชีวิตก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบโดยพึ่งพาความรุนแรงหรือรัฐประหาร ถ้าฝ่ายใดเริ่มความรุนแรงก่อน หรือฝ่ายใดถูกจับได้ว่าสร้างสถานการณ์เพื่อให้เข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายสร้างความรุนแรงก่อนก็จะพ่ายแพ้เช่นกัน

เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คณะแกนนำและผู้ปราศรัยก็คงสรรหาคำพูดเพื่อลดแรงกดดันของผู้ชุมนุมจำนวนมากที่จะต้องอึดอัด ผิดหวัง โกรธเคือง และตั้งคำถามว่าให้มานั่งนิ่งๆ ทำไม โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไม่ได้ประโยชน์อะไร? นอกจากจะมีคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากงบประมาณในความยืดเยื้อจากการชุมนุมที่ไม่มีวันแตกหักจริง

สำหรับนายทุนที่เพ้อฝันยอมส่งท่อน้ำเลี้ยงลงไปเพราะคิดว่าจะเผด็จศึกจบเกมครั้งนี้ให้ได้ คงต้องถูกหลอกรับประทานอีกครั้งและยังคงต้องถูกหลอกให้ส่งท่อน้ำเลี้ยงอีกนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น