วันนี้ (8 เมษายน) เป็นวันดีเดย์ของ “คนเสื้อแดง” ที่ระดมกำลังกันเข้ากรุงตามคำสั่งของนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร และจะได้รู้กันไปเสียทีว่า ผลจะลงเอยอย่างไร แต่ถ้าฟังคำพูดของหัวหน้าม็อบ และบรรดาลิ่วล้อระดับรองลงมา ต่างประกาศแข็งกร้าวว่าอาจจะเกิดสงครามประชาชน หรือปฏิวัติประชาชน
บรรยากาศก็เริ่มเข้าเค้าหลังจากพิจารณาเงื่อนไข 3-4 ข้อหลักๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิรโทษกรรมความผิด ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รวมทั้งให้นำรัฐธรรมนูญปี2540 กลับมาใช้ เป็นต้น
หากพิจารณาจากข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ไม่มีทางสำเร็จลงได้เลยภายใต้สถานการณ์การชุมนุมปกติ อีกทั้งฝ่ายรัฐบาลก็ยังใช้ไม้อ่อนสยบแข็ง ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ
ดังนั้นต้องตั้งคำถามกันอีกว่า ต้องใช้สถานการณ์แบบไหนถึงจะทำให้เกิดผลตามข้อเรียกร้อง
เพราะเมื่อไล่เรียงไปทีละข้อ มันไม่มีทางทำได้ในเวลารวดเร็ว และที่สำคัญในความเป็นจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย อย่างเช่นการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ ต้องมีกระบวนการมีขั้นตอนด้านเวลา
หรืออย่างการยุบวุฒิสภา ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี ถ้าทำได้ก็เพียงแค่ยุบสภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น
เมื่อเป็นไม่ได้ในสถานการณ์ปกติ ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่
ที่ผ่านมาย้อนกลับไปตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นมา นักโทษชายทักษิณ ได้เปิดเผยตัวตนออกมาจากคำพูดผ่านการ โฟนอิน และระบบวิดีโอลิงก์ ปลุกระดมให้ร้ายสถาบันองคมนตรี ไล่เรียงไปตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลงมา
ซึ่งได้รับการตอบโต้และเปิดโปงจาก พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี โดยระบุอย่างตรงๆว่า พฤติกรรมของ ทักษิณ ชินวัตร “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” อย่างชัดเจน พร้อมยกตัวอย่างกรณีการเข้าไปทำบุญในวัดพระแก้วมาเป็นตัวอย่าง
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยังมีบรรดาแกนนำหลายคนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าจะเป็น ดา ตอร์ปิโด ชูชีพ ชีวสุทธิ์ สุชาติ นาคบางไทร วีระ มุสิกพงศ์ และจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น รวมทั้งนักวิชาการเสื้อแดงอย่าง ใจ อึ้งภากรณ์ ที่ออกแถลงการณ์ “สยามแดง” และต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
นอกจากนี้การแจกใบปลิวโจมตี จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบ และการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และ นักโทษชาย ทักษิณ ที่นัดดีเดย์ชุมนุมใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศในวันนี้ (8 เมษายน) ย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์ที่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น
โอกาสที่จะสร้างสถานการณ์ เผาบ้านเมือง ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน เพราะมีการปลุกระดมให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง มาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบรรดาแกนนำทั้งหลาย ต่างคนต่างก็มีเป้าหมายกันคนละอย่าง คุมกันไม่ได้
อย่างไรก็ดี หากเกิดความรุนแรงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักโทษชายทักษิณ ทั้งสิ้น เพราะถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นล้มองคมนตรีได้ นั่นย่อมหมายความว่า สถาบันเบื้องสูงจะได้รับกระทบกระเทือนอย่างไรบ้าง ลองหลับตานึกดูก็แล้วกัน
แต่หากนำไปสู่การรัฐประหาร หรือประกาศใช้กฎหมายพิเศษแล้ว ย่อมหมายความว่า นักโทษชายคนนี้ จะสามารถนำไปเป็นเงื่อนไขสำหรับการขอลี้ภัยทางการเมือง และอาจนำไปสู่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในอนาคตก็เป็นไปได้ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นเชื่อว่าสถานการณ์การชุมนุมในวันนี้ ได้ถูกปลุกเร้า ถูกปลุกระดมกันมาจนถึงขีดสุด และที่น่าจับตาก็คือ เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ให้ตัวเองได้รับประโยชน์
และนาทีนี้ให้จับตาแผนอำมหิตที่ทำทุกทาง เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะฉิบหายแค่ไหนก็ตาม !!
บรรยากาศก็เริ่มเข้าเค้าหลังจากพิจารณาเงื่อนไข 3-4 ข้อหลักๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิรโทษกรรมความผิด ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา รวมทั้งให้นำรัฐธรรมนูญปี2540 กลับมาใช้ เป็นต้น
หากพิจารณาจากข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ไม่มีทางสำเร็จลงได้เลยภายใต้สถานการณ์การชุมนุมปกติ อีกทั้งฝ่ายรัฐบาลก็ยังใช้ไม้อ่อนสยบแข็ง ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ
ดังนั้นต้องตั้งคำถามกันอีกว่า ต้องใช้สถานการณ์แบบไหนถึงจะทำให้เกิดผลตามข้อเรียกร้อง
เพราะเมื่อไล่เรียงไปทีละข้อ มันไม่มีทางทำได้ในเวลารวดเร็ว และที่สำคัญในความเป็นจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย อย่างเช่นการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ ต้องมีกระบวนการมีขั้นตอนด้านเวลา
หรืออย่างการยุบวุฒิสภา ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี ถ้าทำได้ก็เพียงแค่ยุบสภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น
เมื่อเป็นไม่ได้ในสถานการณ์ปกติ ก็ต้องใช้ความรุนแรงเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่
ที่ผ่านมาย้อนกลับไปตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม เป็นต้นมา นักโทษชายทักษิณ ได้เปิดเผยตัวตนออกมาจากคำพูดผ่านการ โฟนอิน และระบบวิดีโอลิงก์ ปลุกระดมให้ร้ายสถาบันองคมนตรี ไล่เรียงไปตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ลงมา
ซึ่งได้รับการตอบโต้และเปิดโปงจาก พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี โดยระบุอย่างตรงๆว่า พฤติกรรมของ ทักษิณ ชินวัตร “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” อย่างชัดเจน พร้อมยกตัวอย่างกรณีการเข้าไปทำบุญในวัดพระแก้วมาเป็นตัวอย่าง
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยังมีบรรดาแกนนำหลายคนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าจะเป็น ดา ตอร์ปิโด ชูชีพ ชีวสุทธิ์ สุชาติ นาคบางไทร วีระ มุสิกพงศ์ และจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น รวมทั้งนักวิชาการเสื้อแดงอย่าง ใจ อึ้งภากรณ์ ที่ออกแถลงการณ์ “สยามแดง” และต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
นอกจากนี้การแจกใบปลิวโจมตี จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบ และการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และ นักโทษชาย ทักษิณ ที่นัดดีเดย์ชุมนุมใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศในวันนี้ (8 เมษายน) ย่อมมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์ที่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น
โอกาสที่จะสร้างสถานการณ์ เผาบ้านเมือง ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน เพราะมีการปลุกระดมให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง มาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบรรดาแกนนำทั้งหลาย ต่างคนต่างก็มีเป้าหมายกันคนละอย่าง คุมกันไม่ได้
อย่างไรก็ดี หากเกิดความรุนแรงไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนเกิดประโยชน์สูงสุดต่อนักโทษชายทักษิณ ทั้งสิ้น เพราะถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นล้มองคมนตรีได้ นั่นย่อมหมายความว่า สถาบันเบื้องสูงจะได้รับกระทบกระเทือนอย่างไรบ้าง ลองหลับตานึกดูก็แล้วกัน
แต่หากนำไปสู่การรัฐประหาร หรือประกาศใช้กฎหมายพิเศษแล้ว ย่อมหมายความว่า นักโทษชายคนนี้ จะสามารถนำไปเป็นเงื่อนไขสำหรับการขอลี้ภัยทางการเมือง และอาจนำไปสู่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในอนาคตก็เป็นไปได้ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นเชื่อว่าสถานการณ์การชุมนุมในวันนี้ ได้ถูกปลุกเร้า ถูกปลุกระดมกันมาจนถึงขีดสุด และที่น่าจับตาก็คือ เป็นการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ให้ตัวเองได้รับประโยชน์
และนาทีนี้ให้จับตาแผนอำมหิตที่ทำทุกทาง เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะฉิบหายแค่ไหนก็ตาม !!