วิเคราะห์ หน้า 2
การโฟนอินหรือใช้วิธีวีดิโอลิงก์เข้ามาในวงชุมนุม “คนเสื้อแดง” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ทั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหรือก่อนหน้านั้น มุ่งกล่าวหา โจมตีให้ร้ายบุคคลสำคัญหลายคนในบ้านเมืองอย่างรุนแรง จนถือว่าส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้าง
เพราะบุคคลที่ถูกกล่าวหา ว่าร้ายเป็นถึง ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ส่วนในทางสังคมท่านผู้นี้ก็ย่อมมีผู้นับหน้าถือตาทั้งจากชาวบ้านทั่วไป จนถึงข้าราชการ โดยเฉพาะบรรดาผู้นำในกองทัพ
มีประวัติในเรื่องของความซื่อสัตย์ โปร่งใสตลอดการรับราชการ และจนกระทั่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนานกว่า 8 ปี
นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่นๆ ที่เป็นองคมนตรี มีทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ในอดีตเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก อดีตนายกฯ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ซึ่งเคยเป็นประธานศาลฎีกา หรือฝ่ายตุลาการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงผู้นำเหล่าทัพ นักวิชาการ และอีกหลายคนที่ติดร่างแหไปด้วย
เนื้อหาสาระโดยสรุปก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวหาว่ารวมหัวกันโค่นล้มให้ตกจากอำนาจ และกลั่นแกล้งให้ติดคุก หรือแม้กระทั่งตามล่าเอาชีวิต
ถือว่าเป็นการกล่าวหาข้างเดียวแบบ “ทิ้งบอมบ์” ไม่ปราณีปราศรัยกันอีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันยังได้ปลุกให้ลุกฮือต่อต้านเพื่อกดดันให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แล้วให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นตัวตั้งแล้วนำไปสู่การนิรโทษกรรมทั้งหมด
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันให้ละเอียดก็ต้องมาตั้งคำถามกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเจตนา อะไรกันแน่ เพราะการพูดในลักษณะนี้ถือว่า “เสี่ยงหมดหน้าตัก” และอีกมุมหนึ่งเหมือนกับว่าไม่มีเจตนาจะกลับมาประเทศอีกแล้ว เนื่องจากเป็นคำพูดที่สร้างศัตรูรอบทิศ
แต่ขณะเดียวกันการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดต่อหน้ามวลชนเสื้อแดงของเขา กล่าวหาให้ร้ายว่าถูกรวมหัวกันโค่นล้มกลั่นแกล้งต่างๆนานาๆ เหมือนมีเจตนา “ปลุกระดม” สร้างอารมณ์เกลียดชังจากคนเสื้อแดงให้มีต่อคนสำคัญดังกล่าว
ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็คือเป้าหมายสูงสุดน่าจะ “เหนือ” ไปกว่านั้นหรือไม่ เพราะที่มาของแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา และมาจากไหนทุกคนย่อมรู้ดี
เมื่อปลุกเร้าให้มวลชนเกิดความเกลียดชัง ยกเอาเรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรม มาเป็นข้ออ้าง มันก็น่ากลัวว่า โอกาสที่จะก่อความรุนแรงก็มีความ เป็นไปได้สูงเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวนคนที่ถูกระดมเข้ามากันเต็มกำลังและข้อจำกัดในการชุมนุมที่เชื่อกันว่าไม่น่าจะปักหลักนานเกินสัปดาห์
เพราะทุกคนย่อมรู้ดีว่าหากชุมนุมกันสักพักแล้วสลายตัวไปโดยที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็ “ขาดทุนป่นปี้” แถม “สะพาน” ที่จะข้ามกลับมาก็ถูกตัวเองเผาทำลายทิ้งไปแล้วจากการพูดจาให้ร้าย ก่อศัตรูอย่างเปิดเผยทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกอย่างก็ยิ่งเสียหายหนัก
ประกอบกับก่อนหน้านี้บังเอิญว่ามี “แผนตากสิน” หรือแผน TAKSIN ดันโผล่เข้ามาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเสียอีก ซึ่งเนื้อหาสำคัญก็คือก่อสงครามมวลชน ใช้ยุทธวิธีทั้งใต้ดินและเปิดเผย และเป้าหมายสูงสุดคือโค่นล้มสถาบันฯ
แม้ว่านาทีนี้ยังสรุปว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหรือเปล่า แต่เมื่อดูจากที่มาที่ไป ทั้งคนทิ้งบอมบ์ มวลชนเสื้อแดง และแกนนำ รวมไปถึงสื่อมวลชนที่รับลูกในเวลานี้เป็นทอดๆมันก็เข้าเค้า
และในสถานการณ์เฉพาะหน้าให้จับตาการยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน เพื่อให้เกิดการปราบปรามโดยฝ่ายกองทัพ จากนั้นตัวเองก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการขอลี้ภัยในต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายมองข้ามช็อตเดาไปไกลว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก่อสงครามมวลชนเต็มรูปแบบตามที่แกนนำเสื้อแดงบางคนเคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้
ทุกอย่างดูเหมือนถูกกำหนดเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอน
ซึ่งได้แต่หวังว่าฝ่ายรัฐบาลและผู้มีอำนาจคงจะรู้เท่าทันสถานการณ์ ไม่ติดกับดักอันตรายไปเสียก่อน !!
การโฟนอินหรือใช้วิธีวีดิโอลิงก์เข้ามาในวงชุมนุม “คนเสื้อแดง” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ทั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหรือก่อนหน้านั้น มุ่งกล่าวหา โจมตีให้ร้ายบุคคลสำคัญหลายคนในบ้านเมืองอย่างรุนแรง จนถือว่าส่งผลสะเทือนเป็นวงกว้าง
เพราะบุคคลที่ถูกกล่าวหา ว่าร้ายเป็นถึง ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ส่วนในทางสังคมท่านผู้นี้ก็ย่อมมีผู้นับหน้าถือตาทั้งจากชาวบ้านทั่วไป จนถึงข้าราชการ โดยเฉพาะบรรดาผู้นำในกองทัพ
มีประวัติในเรื่องของความซื่อสัตย์ โปร่งใสตลอดการรับราชการ และจนกระทั่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนานกว่า 8 ปี
นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่นๆ ที่เป็นองคมนตรี มีทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ในอดีตเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก อดีตนายกฯ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ซึ่งเคยเป็นประธานศาลฎีกา หรือฝ่ายตุลาการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงผู้นำเหล่าทัพ นักวิชาการ และอีกหลายคนที่ติดร่างแหไปด้วย
เนื้อหาสาระโดยสรุปก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวหาว่ารวมหัวกันโค่นล้มให้ตกจากอำนาจ และกลั่นแกล้งให้ติดคุก หรือแม้กระทั่งตามล่าเอาชีวิต
ถือว่าเป็นการกล่าวหาข้างเดียวแบบ “ทิ้งบอมบ์” ไม่ปราณีปราศรัยกันอีกต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันยังได้ปลุกให้ลุกฮือต่อต้านเพื่อกดดันให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แล้วให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นตัวตั้งแล้วนำไปสู่การนิรโทษกรรมทั้งหมด
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันให้ละเอียดก็ต้องมาตั้งคำถามกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีเจตนา อะไรกันแน่ เพราะการพูดในลักษณะนี้ถือว่า “เสี่ยงหมดหน้าตัก” และอีกมุมหนึ่งเหมือนกับว่าไม่มีเจตนาจะกลับมาประเทศอีกแล้ว เนื่องจากเป็นคำพูดที่สร้างศัตรูรอบทิศ
แต่ขณะเดียวกันการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดต่อหน้ามวลชนเสื้อแดงของเขา กล่าวหาให้ร้ายว่าถูกรวมหัวกันโค่นล้มกลั่นแกล้งต่างๆนานาๆ เหมือนมีเจตนา “ปลุกระดม” สร้างอารมณ์เกลียดชังจากคนเสื้อแดงให้มีต่อคนสำคัญดังกล่าว
ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปอีกก็คือเป้าหมายสูงสุดน่าจะ “เหนือ” ไปกว่านั้นหรือไม่ เพราะที่มาของแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา และมาจากไหนทุกคนย่อมรู้ดี
เมื่อปลุกเร้าให้มวลชนเกิดความเกลียดชัง ยกเอาเรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรม มาเป็นข้ออ้าง มันก็น่ากลัวว่า โอกาสที่จะก่อความรุนแรงก็มีความ เป็นไปได้สูงเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวนคนที่ถูกระดมเข้ามากันเต็มกำลังและข้อจำกัดในการชุมนุมที่เชื่อกันว่าไม่น่าจะปักหลักนานเกินสัปดาห์
เพราะทุกคนย่อมรู้ดีว่าหากชุมนุมกันสักพักแล้วสลายตัวไปโดยที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันก็ “ขาดทุนป่นปี้” แถม “สะพาน” ที่จะข้ามกลับมาก็ถูกตัวเองเผาทำลายทิ้งไปแล้วจากการพูดจาให้ร้าย ก่อศัตรูอย่างเปิดเผยทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกอย่างก็ยิ่งเสียหายหนัก
ประกอบกับก่อนหน้านี้บังเอิญว่ามี “แผนตากสิน” หรือแผน TAKSIN ดันโผล่เข้ามาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเสียอีก ซึ่งเนื้อหาสำคัญก็คือก่อสงครามมวลชน ใช้ยุทธวิธีทั้งใต้ดินและเปิดเผย และเป้าหมายสูงสุดคือโค่นล้มสถาบันฯ
แม้ว่านาทีนี้ยังสรุปว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหรือเปล่า แต่เมื่อดูจากที่มาที่ไป ทั้งคนทิ้งบอมบ์ มวลชนเสื้อแดง และแกนนำ รวมไปถึงสื่อมวลชนที่รับลูกในเวลานี้เป็นทอดๆมันก็เข้าเค้า
และในสถานการณ์เฉพาะหน้าให้จับตาการยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน เพื่อให้เกิดการปราบปรามโดยฝ่ายกองทัพ จากนั้นตัวเองก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการขอลี้ภัยในต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายมองข้ามช็อตเดาไปไกลว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก่อสงครามมวลชนเต็มรูปแบบตามที่แกนนำเสื้อแดงบางคนเคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้
ทุกอย่างดูเหมือนถูกกำหนดเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอน
ซึ่งได้แต่หวังว่าฝ่ายรัฐบาลและผู้มีอำนาจคงจะรู้เท่าทันสถานการณ์ ไม่ติดกับดักอันตรายไปเสียก่อน !!