นับวันจะยิ่งเหิมเกริม-จาบจ้วงมากขึ้นทุกที
ยามนี้เห็นได้ชัดว่าอาการของทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงท่าทีและถ้อยคำผ่านวีดีโอลิงค์ของเขา ที่สำรอกให้ชาวเสื้อแดงเชียงใหม่บ้านเกิด ฐานทัพใหญ่ของขบวนการคนเสื้อแดงในช่วงวันหยุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มันไม่ผิดกับอาการของ “คนฟั่นเฟือน-เสียสติ”!
อันยิ่งทำให้เห็นชัดว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการพูดกันว่าทักษิณตอนเป็นนายกรัฐมนตรี มีอาการเหมือน “คนป่วย” ที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ไม่ต่างกับนักการเมืองบ้าอำนาจหลายต่อหลายคนที่ป่วยอาการแบบนี้
แต่ไม่เคยมีใครรู้ตัว หรือถึงรู้ตัวก็ไม่ยอมรับว่าตน “บ้า”
การฟาดงัวฟาดงาเข้าใส่บุคคลสำคัญและองค์กรศาลของทักษิณ ที่ระบุโดยอ้างคำพูดของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน. ซึ่งอ้างถึงกลุ่มบุคคลชั้นสูงและผู้อยู่ในวงการตุลาการร่วมกันวางแผนโค่นล้มรัฐบาลไทยรักไทยและลอบสังหารเขาที่บ้านแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท อันมีผู้ร่วมก่อการ หลักๆ จากคำกล่าวอ้างของทักษิณมีด้วยกันทั้งสิ้น 5 คน
1.พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี
2.ชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรีและอดีตประธานศาลฏีกา
3.อักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด
4.จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม
5.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ
ทว่ายังไม่ทันจะผ่านพ้นไปเกิน 24 ชั่วโมง คำพูดของทักษิณก็แทบกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เพราะตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพัลลภเองก็ยังปฏิเสธการยืนยันคำกล่าวอ้างของทักษิณ
“ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกรณีถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พาดพิงทั้งเรื่องการลอบสังหาร และคาร์บอมบ์ รวมถึงการเข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี อันนำมาซึ่งแผนลอบสังหาร แต่ยอมรับว่าเมื่อ 4-5 เดือนก่อน ได้นัดหมายเพื่อพบปะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศจีนจริง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดที่มีการพูดคุยกัน”
ย่อมมองได้ว่า ไม่ใครก็ใคร ระหว่างทักษิณกับพัลลภ ต้องปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อหวังทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของผู้ถูกทักษิณป้ายสีต่อหน้าคนเสื้อแดงชาวเชียงใหม่
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่งานนี้จะเชื่อได้ว่าทั้งสองคนน่าจะมีการวางแผนมาก่อนล่วงหน้าว่า จะเล่นประเด็นนี้เพื่อหวังสร้างกระแสปลุกเร้าชาวเสื้อแดงให้รู้สึกเคียดแค้นแทนทักษิณ ก่อนที่จะมาร่วมชุมนุมใหญ่ล้อมทำเนียบรัฐบาลในวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคมนี้
เพียงแต่ว่า อาจมีการผิดแผนจากที่ตกลงกันไว้ ทำให้เลยเถิดกันไปมากพอสมควร จนส่งผลให้พัลลภอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะทักษิณเองก็แทบไม่มีอะไรต้องสูญเสีย เนื่องจากหนีคดีและไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ ไม่ต้องเจอแรงปะทะหนักเท่ากับพัลลภ ซึ่งถูกทักษิณยืมน้ำลายมา
“เพิ่มราคา” การหนีคดีให้กับตัวเอง
เพราะถูกกลุ่มบุคคลรวมกันโค่นล้มอำนาจ เพื่อหวังเรียกร้องความเห็นใจจากคนเสื้อแดงและประชาชนที่ยังสองจิตสองใจว่าจะร่วมขบวนการเสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตย(บังหน้า)ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ด้วยหรือไม่
ทว่า ยามนี้พัลลภแม้จะปฏิเสธอย่างไร ก็ทำให้ทหารแก่ผู้ไม่ยอมละวางจากอำนาจ อยู่ในสภาพไม่สามารถสู้หน้ากับผู้คนได้อย่างสนิทใจ
เพราะสิ่งที่ทักษิณนำไปกล่าวอ้างหนักหน่วงยิ่ง กับการเปิดศึกกับบุคคลระดับสูงในทำเนียบองคมนตรีถึงสองคนคือพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์และชาญชัย ลิขิตจิตถะ
รวมถึงสองตุลาการ “อักขราทร-จรัญ” ซึ่งได้รับการยอมรับ และยกย่องจากสังคมในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่เสมอมา ไม่นับรวมกับวิถีชีวิตส่วนตัวของทั้งสองคนที่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยทั้งเรื่องการทำงานและชีวิตส่วนตัว
ผิดกับพัลลภ ซึ่งก็คืออดีตนายทหารที่วิ่งเข้าหาทักษิณเพื่อต้องการอำนาจและสถานะทางการเมือง แต่ก็ไม่เคยสมหวังตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ไปร่วมหาเสียงให้กับพรรคไทยรักไทยในภาคใต้-อีสาน ตั้งแต่ทักษิณก่อตั้งพรรคไทยรักไทยใหม่ๆตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งใหญ่ปี 2544 จนถึงล่าสุดกับความล้มเหลวในฐานะผอ.เลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ลพบุรี-สิงห์บุรี เมื่อการเลือกตั้งซ่อมครั้งใหญ่หลังการยุบพรรคพลังประชาชน
ลำพังแค่เรื่อง “โศกนาฏกรรมกรือเซะ”อย่างเดียว ก็เป็นชนักติดหลังเขาไปตลอดชีวิต
พยานแบบนี้ เป็นพยานไม่น่าเชื่อถือ เขาเรียกกันว่าพยานโจร หรือพยานเท็จ นั่นเอง
มันจึงทำให้น้ำหนักและคำกล่าวของทั้งทักษิณและพัลลภไร้ราคา แม้จะพยายามปลุกเร้าความเห็นใจอย่างสุดชีวิต ถึงขั้นเดิมพันเป็นศัตรูกับบุคคลระดับสูง
วีดีโอลิงค์-โฟนอินทักษิณ ที่เชียงใหม่ จึงเป็นการ”ฆ่าตัวตาย”อีกครั้งของทักษิณที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยอีกหนึ่งคือพัลลภ ปิ่นมณี ที่แม้จะพยายามพลิกสถานการณ์หนีแรงกดดันครั้งนี้ แต่ก็คงสายเกินไปเสียแล้ว
อันเป็นการสายเกินไปของพัลลภ ที่เขาอาจประเมินความรู้สึกของสังคมผิดไป ต่อกรณีบุคคลที่ถูกทักษิณป้ายสีและพาดพิง ว่าเป็น
“ขบวนการโค่นล้มจากอำนาจ”
ลำพังแค่ 2 ชื่อที่อยู่ในวงการตุลาการทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่าง “ชาญชัย-อักขรทร” ก็แทบไม่มีใครเชื่อทักษิณอยู่แล้วว่า ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งสองท่านจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการวางแผนใดๆทางการเมือง
ในยามที่ทั้งสองคนกำลังดำรงตำแหน่งทั้งประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุด ตามเวลาที่ทักษิณกล่าวอ้างถึง เพราะด้วย “จริยธรรมตุลาการ” ที่ทั้งสองคนได้แสดงให้สังคมตระหนักเสมอมา รวมถึงการทำหน้าที่เพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ของส่วนรวมตลอดมา ก็ยิ่งเป็นเครื่องหมายรับประกันคุณงามความดีที่ทำไว้
เพียงแต่สิ่งที่ทั้งสองตุลาการ “ชาญชัย-อักขราทร” ยึดถือปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ทำให้ทักษิณและเครือข่าย “เสียผลประโยชน์” จึงอาจเกิดความรู้สึกโกรธแค้น และหวังแปรความโกรธแค้นจากความรู้สึกส่วนตัวให้เป็น
“ความแค้นร่วม”ของคนเสื้อแดง
เหตุเพราะทักษิณอาจเห็นว่าทั้งสองคนคือ “หัวหอกตุลาการภิวัฒน์”ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สังคมเห็นด้านมืดของระบอบทักษิณ อย่างกรณีที่การเลือกตั้ง 2 เมษายน 49 ต้องล้มพังครืน
ทั้ง “ชาญชัย-อักขราทร” น้อมรับกระแสพระราชดำรัสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องการเลือกตั้ง 2 เมษายน 49 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
จนนำไปสู่การหารือร่วมกันหลายครั้งของ 3 ผู้นำศาลคือ ศาลฏีกา -ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ศาลปกครองสูงสุด -อักขราทร จุฬารัตน์ และศาลรัฐธรรมนูญ -ผัน จันทรปาน
จนต่อมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 49 เป็นโมฆะ และพรรคไทยรักไทยต้องกลับไปเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง
ก่อนที่ต่อมา “แก็ง 3 หนา กกต.” ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ก็ต้องหลุดจากตำแหน่งจากผลพวงการตัดสินคดีของศาลยุติธรรมในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการจัดการเลือกตั้ง 2 เมษายน 49
และเมื่อมีการทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ท่านชาญชัยก็ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม โดยมี จรัญ ภักดีธนากุล ถูกดึงตัวมาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม
ขณะที่อักขราทร กับการทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดขององค์กรศาลปกครอง ก็พบว่าศาลปกครองมีการตัดสินคดีหลายต่อหลายคดี ที่ทำให้รัฐบาลทักษิณเกือบเอาตัวไม่รอด อาทิ การตัดสินให้ระงับการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จากเหตุผลเรื่องกรรมการที่เกี่ยวข้องบางคนโดยเฉพาะโอฬาร ไชยประวัติ มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำเนินการเรื่องนี้ แล้วต่อมาโอฬารก็มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจในเก้าอี้รองนายกรัฐมตรีในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์
อาจเป็นเพราะเรื่องแบบนี้ก็เป็นได้ จึงทำให้ทักษิณไม่พอใจบทบาทของศาลปกครองในยุคที่ “อักขราทร”เป็นผู้นำสูงสุด
และเมื่อหลังคมช.ทำรัฐประหารทักษิณแล้ว อักขราทรก็เข้ารับตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญ และเกิดการยุบพรรคไทยรักไทยเกิดขึ้น จนขุนพลข้างกายทักษิณต้องโดนโทษแบนการเมืองห้าปี และเมื่อรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์อำลาไป ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งท่านชาญชัย เป็นองคมนตรีในเวลาต่อมา
และน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ก่อนหน้านี้หากจำกันได้ ก่อนที่จะมีการตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชน ก็มีเหตุลอบวางระเบิดบ้านพักของทั้ง”อักขราทร-จรัญ”ในเวลาไล่เลี่ยกัน ในช่วงสถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรง โดยตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้เลย กับการป้องกันความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ
วีดีโอลิงค์ของทักษิณ จึงบ่งบอกอะไรได้ชัดเจน ถึงความคิด-ความคับแค้นใจที่เขามีต่อบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง ว่าร่วมกันวางแผนโค่นล้มให้ลงจากอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นพลเอกสุรยุทธ์-ชาญชัย-อักขราทร-จรัญ รวมถึงปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระที่ตรวจสอบติดตามด้านมืดของระบอบทักษิณมาหลายปี และยืนหยัดบนเวทีพันธมิตรฯในช่วง 193 วันโดยไม่ย่อท้อต่อการขับไล่อำนาจอันชั่วร้าย
จึงพบว่า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินไทยและไม่เคยทำร้าย ให้ร้ายแผ่นดินเกิดอย่างที่ทักษิณกระทำทุกเมื่อเชื่อวันเช่นเวลานี้
ดังนั้น จึงควรที่รัฐบาลต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร แม้เวลานี้จะพยายามแล้ว แต่ก็ควรต้องเพิ่มให้มากขึ้น ไม่ใช่จะรอหวังพึ่งแต่องค์กรต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสำนักงานอัยการสูงสุด
จริงอยู่ว่า ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่หากรัฐบาลจะใช้มาตรการทางการเมืองเข้ามาช่วยอีกแรง โดยไม่ไปแทรกแซงหรือสั่งการกระบวนการยุติธรรม ก็น่าจะสามารถกระทำได้ เช่นการขอความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อขอให้ส่งข่าวสารหรือแจ้งความเคลื่อนไหวของทักษิณ เพราะเวลานี้เห็นได้ชัดแล้วว่า
ทักษิณ เป็น “ภัยต่อความมั่นคงประเทศ-อันตรายต่อบุคคลสำคัญ”
ขนาดไหน แล้วรัฐบาลจะนิ่งเฉย ปล่อยไว้เพื่อให้ออกมาแสดงพฤติกรรมอันธพาลการเมือง ใส่ร้ายป้ายสีผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างนี้ได้อย่างไรกัน
หรือว่า สังคมจะพึ่งหวังรัฐบาลไม่ได้ในการปกป้องชื่อเสียงของผู้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ถ้ารัฐบาลทำไม่ได้ ก็ให้บอกมา