xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณกำลังจะเข้ากรุงเทพฯ !?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

“ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไป นำประชาชนเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที”

นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ปราศรัยอีกครั้งหนึ่งเมื่อคืนวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา เป็นความฝันเฟื่องว่าทหารจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนต้องใช้ปืนยิงประชาชนเพื่อสลายการชุมนุม เมื่อนั้นประชาชนทั่วประเทศจะลุกฮือขึ้นมาหลายเท่าตัว จนนักโทษชายทักษิณจะสามารถนำประชาชนขึ้นมาขับไล่รัฐบาลหรือนำการปฏิวัติหรือรัฐประหารโดยประชาชนได้

เพราะการพุ่งเป้ายกระดับโจมตีขับไล่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บัดนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นการกดดันเพื่อต่อรอง!

เป็นการต่อรองเพื่อให้เลือกระหว่างการกดดันของมวลชนเพื่อขับไล่หรือยอมเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้สิ่งที่นักโทษชายทักษิณต้องการ

ไม่ต้องพูดเสแสร้งหรอกว่าสู้ทั้งหมดเพื่อให้ประเทศไทยได้ประชาธิปไตยที่ปราศจากการแทรกแซงของอำมาตยาธิปไตย เพราะมันเป็นเพียงแค่วาทกรรมอำพรางความต้องการที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดและมีความชอบธรรมเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ทักษิณต้องการอะไร ถ้าไม่ใช่การนิรโทษกรรม – อำนาจ – และทรัพย์สินที่ถูกอายัดไปกลับคืนมา? ซึ่งมีหลักฐานปรากฏตามการปราศรัยอธิบายคำว่า “ทางออก” ของนักโทษหนีอาญาแผ่นดินที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2552 ในตอนท้ายความตอนหนึ่งว่า:

“ทางออกก็คือ เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ วันนี้ที่เราสู้กัน ฟ้องกันไปมาว่าไอ้นั่นจะติดคุก ไอ้นี่จะติดคุก ไม่มีใครยอมใครจริงๆ การเมืองก็รู้อยู่แล้วว่าคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ก็เหมือนกับมาดากัสการ์ที่เดินขบวนกันแล้วเอาเด็กอายุ 30 กว่าขึ้นมาบริหารประเทศ เราต้องการความชอบธรรมให้กระบวนการถูกต้อง ให้ประชาชนตัดสิน วันนี้ต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญใหม่ ต้องเอารัฐธรรมนูญ 40 เป็นตัวตั้ง เรื่องที่ฟ้องกันไปมาต้องยกเลิก ไม่ใช่เพื่อผม แต่วันนี้มันล่อกันไปมา จึงต้องออกเพื่อให้เริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ทุกคนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ไม่ต้องบอยคอต ผมไม่ลง พรรคประชาธิปัตย์จะได้สบายใจ แต่ให้ทั้ง 111 ลงซะ”

นี่คือข้อเสนอที่ชัดเจนที่สุดของนักโทษชายทักษิณ!


พูดเหมือนย้อนเวลากลับไปได้ขอให้เริ่มต้นใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น! นิรโทษกรรมเพื่อให้ได้อิสรภาพ ฟอกความผิดของตัวเองในอดีตเพื่อให้ได้เงินที่ถูกยึดกลับคืนมา และยุบสภาเพื่อให้พรรคพวกตัวเองได้รับชัยชนะสามารถมีอำนาจทางการเมืองต่อไป

ลำพังการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือแดง ทำได้อย่างมากก็คือสร้างแรงกดดันหรือสนับสนุนเพื่อให้คนกลุ่มอื่นเป็นผู้เปลี่ยนแปลงเท่านั้น กลุ่มคนที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐจริงๆ มีทั้งหมด 3 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 ฝ่ายการเมือง

กลุ่มที่ 2 ฝ่ายทหาร

กลุ่มที่ 3 ฝ่ายศาลสถิตยุติธรรม


สำหรับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ใช้การชุมนุมอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 193 วัน ผลของการชุมนุมที่ยับยั้งการรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ จึงทำให้คดีทุจริตคอร์รัปชันเดินหน้าต่อไป และทำให้คดีโกงเลือกตั้งได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองถึง 3 พรรค

อย่างน้อยชัยชนะในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ เพราะเชื่อมั่นว่าชัยชนะขั้นต่ำสุดหากรัฐบาลนายสมัคร หรือนายสมชายไม่ลาออก ก็ยังมีคดียุบพรรครออยู่เบื้องหน้า จึงเป็นกำลังใจให้สามารถชุมนุมต่อเนื่องอย่างยาวนานได้ถึง 193 วัน ด้วยพลังศรัทธาที่ต้องการพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น

สูงสุดของการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธก็คือการขัดขวางไม่ให้อำนาจรัฐทำงานได้เท่านั้น!

สิ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ต่อว่าต่อขานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ตัวเองก็ได้ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลห้ามไม่ให้คณะรัฐมนตรีเข้าทำงาน ซึ่งไม่ได้แตกต่างในรูปแบบของการกดดันที่มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาลแต่ประการใด

ต่างกันตรงที่ว่าความชอบธรรมในการเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลของพันธมิตรฯ ได้รับการพิสูจน์ด้วยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพรรครัฐบาลมาจากการโกงการเลือกตั้งถึง 3 พรรค ในขณะความชอบธรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และอาจพิสูจน์ไม่ได้

เช่นเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เมื่อมีประชาชนผู้ชุมนุมเสียชีวิต บาดเจ็บ เพราะถูกรัฐบาลหรืออันธพาลของรัฐบาลใช้อาวุธสงครามยิ่งใส่ จึงจำเป็นต้องรักษาชีวิตผู้ชุมนุม ด้วยการยกระดับการชุมนุมเคลื่อนตัวไปที่สนามบินเพื่อกดดันให้ยุติอำนาจรัฐให้เร็วที่สุด

วันนี้อารมณ์ของคนกลุ่มเสื้อแดงหากถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายด้วยอาวุธสงครามก็ได้ชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่าอาจจะใช้มาตรการตอบโต้แบบป่าเถื่อน รุนแรงยิ่งกว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป!

สมรภูมิของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาล อำมาตยาธิปไตย ในวันนี้ทวีความรุนแรงแหลมคม เพิ่มแรงกดดัน ต่อการต่อรองมากขึ้นตามลำดับ ใน 4 สมรภูมิสำคัญที่จะชี้ขาดชัยชนะและความพ่ายแพ้

สมรภูมิที่ 1 วัดความอดทน อดกลั้นของฝ่ายรัฐบาลต่อการถูกยั่วยุและการถูกขัดขวางการทำงานฝ่ายหนึ่ง กับการชุมนุมของฝ่ายเสื้อแดงที่จะไม่ก่อความวุ่นวาย ท่ามกลางแดดร้อนในเดือนเมษายนอีกฝ่ายหนึ่ง

กติกาในสมรภูมินี้ คนแพ้คือฝ่ายที่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน ฝ่ายแดงจะถูกมวลชนบีบบังคับให้ยกระดับการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเพราะอ่อนล้าจากการชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลก็จะต้องบริหารประเทศต่อไปให้ได้ท่ามกลางการขัดขวางการทำงาน แรงกดดันฝ่ายผู้ชุมนุมจะมากกว่าเพราะต้องการจบให้เร็ว!

แต่ถ้าไม่มีฝ่ายใดใช้ความรุนแรง กรรมจะตกอยู่กับผู้ชุมนุม (ที่ไม่ได้ถูกรับจ้าง) อาจจะต้องตากแดด ตากฝนไปอีกนาน หากอดทนไม่ไหวก็ต้องหาทางเลิกชุมนุม หรือหากทนได้ก็อาจจะต้องชุมนุมไปอีกเกือบ 3 ปี จนหมดวาระของรัฐบาล เมื่อนั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชุมนุมที่สามารถทำลายสถิติ 193 วัน ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างขาดลอย

และถ้ารัฐบาลตั้งสติได้และเน้นการใช้อำนาจศาลภายใต้พระปรมาภิไธย ไต่สวนฉุกเฉินขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อลดทอนจำกัดการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย จนรัฐบาลสามารถเข้าทำงานได้เป็นปกติ การชุมนุมของคนเสื้อแดงจะไร้ความหมายโดยทันที ยิ่งถ้าผู้ชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งศาลนอกจากจะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมแล้ว ยังจะหมดความชอบธรรมเพราะกลายเป็นผู้ที่ไม่เคารพต่อศาลที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธยอีกด้วย

ยิ่งถ้ารัฐบาลยกเลิกหนังสือเดินทางของทักษิณ และหาหนทางหยุดยั้งโฟนอิน และวิดีโอลิงก์ของทักษิณได้สำเร็จ ก็จะทำให้การเคลื่อนไหวของทักษิณยากเย็นกว่าเดิมอีกหลายเท่า

สมรภูมิที่ 2 กฎหมายปรองดองแห่งชาติ
หากปล่อยให้เข้าสภาฯ สำเร็จ ความแตกแยกและกลียุคจะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้ง ถือเป็นชัยชนะของฝ่ายนักโทษชายทักษิณทันที

เพราะหากเสียงในสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบ กฎหมายปรองดองแห่งชาติ จะต้องมีการเผชิญหน้ากันอย่างแน่นอนในขั้นตอนการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ในวาระที่ 3 โดยวุฒิสภา เมื่อถึงเวลานั้นมวลชนเสื้อแดงก็จะชุมนุมสนับสนุนกดดันอยู่หน้าสภาฯ และมวลชนพันธมิตรฯ ที่รับไม่ได้กับกฎหมายฉบับนี้ก็จะต้องต่อต้านเช่นเดียวกัน

จินตนาการดูเอาเถิดเมื่อถึงเวลานั้นประเทศชาติจะเป็นอย่างไร?

สมรภูมินี้นักโทษชายทักษิณมีแต่ได้กับได้อย่างเดียว เพราะหากมีทหารออกมารัฐประหารเพื่อยุติความวุ่นวาย ทักษิณก็ได้รับชัยชนะในการยกระดับการต่อสู้กับทหารอย่างเต็มตัว และขยายแนวร่วมเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเลือกหนทางยุบสภาเพื่อหยุดยั้งกฎหมายฉบับนี้ก็จะได้รับการยกย่องจากหมู่ชาวพันธมิตรฯ และประชาชนโดยทั่วไปว่ามีความกล้าหาญ แต่พรรคเพื่อไทยก็จะต้องกลับมาจัดตั้งเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะระยะเวลาทำงานเพื่อช่วงชิงคะแนนความนิยมในฐานเสียงของระบอบทักษิณสั้นเกินไป

กติกาสมรภูมินี้จึงอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์สามารถเจรจาพรรคร่วมรัฐบาลในการหยุดยั้งกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่วาระแรก หรือไม่? และแน่นอนว่าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนจะถือโอกาสต่อรองงบประมาณและโครงการต่างๆ ในการทำมาหากินของพรรคพวกตัวเอง คิดดูเอาว่าเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ต้องการการเมืองใหม่อย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะรู้สึกอย่างไร?

แต่สมรภูมินี้นอกจากจะใช้เวลาอีกนานที่อาจไม่ทันใจนักโทษชายทักษิณแล้ว ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสกัดด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญอีกด้วย

สมรภูมิที่ 3 เป็นสมรภูมิที่ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง เชื่อว่าจะมีชัยชนะในสมรภูมินี้ นั่นก็คือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ในคดีนี้ ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบถูกยุบพรรคเช่นเดียวกัน

สมรภูมิที่ 4 สมรภูมิสื่อหากรัฐบาลยังประมาท และไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อลดการบิดเบือนของฝ่ายเสื้อแดงได้ ก็จะทำให้มวลชนเสื้อแดงขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ถ้ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังทำไม่เป็นหรือไม่มีความกล้าหาญ วิธีการแก้ไขปัญหานี้ของฝ่ายรัฐบาลที่ดีที่สุดคือ “เปลี่ยนตัว” โดยด่วนที่สุด!

นักโทษชายทักษิณยังมีโอกาสกลับเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเข้ามาในฐานะผู้ปฏิวัติที่ได้รับการนิรโทษกรรม หรือเข้ามาในฐานะนักโทษที่ต้องติดคุก หรือเข้ามาเมื่อเป็นอัฐิก็ขึ้นอยู่กับสมรภูมิทั้ง 4 ข้างต้น

สถานีแรกของการชุมนุมอยู่ที่วันสงกรานต์ ที่ประชาชนผู้ชุมนุมจะต้องกลับบ้านและภูมิลำเนาเดิม จึงอยู่ที่ว่าจะเลือกยืดเยื้อหลังสงกรานต์ หรือจะเร่งปิดเกมในทุกวิถีทางด้วยความ ดิบ-ถ่อย-เถื่อน

วันนี้ ยืนดูการต่อสู้อยู่บนภูแล้ว น่าติดตามจริงๆ !
กำลังโหลดความคิดเห็น