นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง กล่าวปาฐกถาในงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2552 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เรื่อง"ปัญหาและแนวทางของการเมืองไทยภายหลังวิกฤต" ว่า ปัญหาวิกฤตในปัจจุบันจะยุติเมื่อไรไม่ทราบ แต่การที่มีวิกฤตแสดงว่า บ้านเมืองมีปัญหา ต้องมีการแก้ไข หลายคนบอกต้องปฏิรูป ตนคิดว่าไม่ว่าจะปฏิรูปการเมืองอย่างไรก็ตาม ต้องอยู่ในกรอบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายว่า ทำไมระบอบนี้เหมาะกับประเทศไทย แต่อยากให้ลองมองประเทศอื่นที่ปกครองระบอบนี้ ก็มีประชาธิปไตยที่มั่นคง ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่าง อังกฤษ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน สเปน ญี่ปุ่น ล้วนพยายามรักษาสถาบันฯ แสดงว่า สถาบันฯ อยู่คู่กับประชาธิปไตยได้โดยไม่มีความขัดแย้ง
ฉะนั้นต้องหันมามามองว่า ประเทศไทยจะปฏิรูปอย่างไร ที่มีปัญหาคาราคาซังตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ซึ่งใหญ่ และซับซ้อน ครอบคลุมทั้งประเด็นโครงสร้างได้แก่ สถาบันการเมือง คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ราชการ ระบบการเลือกตั้ง รวมไปถึงค่านิยม วัฒนธรรมทางการเมือง ทัศนคติ จิตสำนึกประชาชน และจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำทางการเมือง นักการเมือง ข้าราชการ และเศรษฐกิจ และสังคมที่มีผลกระทบต่อการเดปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งคงต้องพูดกันเป็นปี
นายสุจิต กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องคิดถึงอย่างมากในการพัฒนการเมืองในอนาคต คือ การสร้างความเข้มแข็ง และตระหนักในความเป็นพลเมือง ให้กับประชาชนหรือปัจเจกบุคคลในสังคมไทย การสร้างการเมืองภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง สร้างความเข้มแข็งทางการเมืองของประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัตน์ เนื่องจากเรื่องต่างๆ ทะลักเข้ามาอย่างเสรี ปราศจากการจำกัด แนวคิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งมีฐานมาจากความคิดค่านิยมประชาธิปไตยตะวันตกก็เข้ามาด้วย
ทั้งนี้โลกาภิวัตน์ ยังทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนเสรี ระบบเศรษฐกิจเสรีพัฒนาต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง มีผลให้เกิดการยอมรับในสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีรากฝังลึกในสังคมเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
หลายประเทศให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ประเด็นที่ให้ความสำคัญต่างกัน รวมถึงการตีความว่า อะไรคือสิทธิ อะไรคือเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศในตะวันตกส่วนใหญ่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพอย่างกว้างขวาง เพราะถือว่า สิทธิเสรีภาพ มากับการเป็นมนุษย์ จะจำกัดได้คือ ภายใต้กฎหมาย แต่รัฐก็ไม่สามารถออกกฎหมายมาจำกัดทั้งหมดได้
ส่วนสังคมไทย มักยอมให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากกว่าตะวันตก แต่ปัจจุบันมีการยอมรับเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ดูจาก รธน.ปี 40 และปี 50 แต่ก็มีคนกังวลว่า สิทธิเสรีภาพ และความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตรงไหน
"ในสภาพโลกาภิวัตน์มีการไหลอย่างเสรี รวดเร็ว กว้างขวางของข้อมูลที่หลากหลายมาก ทั้งข้ามพรมแดนหรือหลั่งไหลในประเทศ ข้อมูลนี้มีทั้งข้อเท็จจริง ความเห็น คำวิจารณ์ หรือการบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์ ของบางกลุ่มบางพวก ปรากฏในสื่ออิเลกทรอนิกส์ รวมถึงระบบส่งข้อมูลข่าวสารผ่านอินเตอร์เนท โฟนอิน วีดีโอลิงก์ ทำให้มีความพยายามของคนบางกลุ่ม ทั้งในและนอกประเทศ ที่จะชักจูงให้คนทั้งหลายคล้อยตามความคิดของตน ด้วยหลายวิธีการ เช่น การตัดต่อเอาส่วนที่ตรงกับความต้องการของตนเองมาออก นอกจากนี้การเสนอข้อมูลข่าวสาร ยังมีแบบตอกย้ำต่อเนื่อง ใช้ภาษาปลุกระดม พร้อมกับเหตุผลว่า เป็นสิทธิเสรีภาพการแสดงออก การเคลื่อนไหวตามการชี้นำทำได้ ฉะนั้น การสร้างความเข้มแข้งความเป็นพลเมือง จะทำให้ประชาชนแยกแยะข้อมูล เป็นตัวของตัวเองทางความคิด และการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตรงนี้จึงต้องเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแก้กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องการศึกษา ปรับปรุงหลักสูตร การใช้สื่อ เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจถึงความสมดุล ซึ่งอยู่ที่สังคมร่วมกันกำหนด โดยถ้าประชาชนเข้มแข็งก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความสมดุลจะอยู่ตรงไหน จึงต้องพัฒนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ทั้งในการเมือง หรือ ในชุมชน ไม่ให้อยู่ภายใต้ผู้นำที่ชักจูงไปทางใดก็ได้ นอกจากนี้ต้องเปิดให้ประชาชนมีช่องทางเรียกร้อง และเปิดโอกาสให้ตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาระยะยาว สร้างสำนึกคุณค่าพลเมืองที่ตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การใช้สิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่บนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของผู้นำ หรือ เงินไม่มากาไม่เป็น" นายสุจิต กล่าว
นายสุจิต กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งในขณะนี้ คงปล่อยให้วิกฤตยืดไปมากกว่านี้ไม่ได้ หลายคนมองถึงการสร้างความสมานฉันท์ ตนคิดว่า ทำได้แต่ต้องตั้งอยู่บนรากฐานความถูกต้อง ไม่ใช่สร้างความปรองดองบนความไม่ถูกต้อง การปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องยากมาก แต่ปฏิวัติง่าย เพราะปฏิรูปการเมืองต้องอาศัยความรอมชอมจากทุกฝ่าย แต่ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะติดวัฏจักรอันเลวร้ายแบบนี้ และขอให้คนที่รักชาติบ้านเมืองช่วยกันขบคิดหาทางออกให้ประเทศ
จากนั้นนายสุจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้อยู่สถาบันพระปกเกล้า เพียงแต่เป็นมติของสถาบันฯ ให้ตนทำหน้าที่ปฏิรูปการเมือง ตนก็รับปาก เพราะเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ส่วนสถาบันฯ จะมีการประชุมเพื่อทบทวนการตัดสินใจเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของสถาบันฯ ทั้งนี้ตนไม่คิดว่าเปลืองตัวที่เข้ามา เพราะเกษียณแล้ว
ส่วนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะผลักดันให้สังคมเข้าสู่ความรุนแรงหรือไม่ ตนไม่ทราบ และการชุนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 8 เม.ย.นี้ จะมีความรุนแรงหรือไม่นัน ตนไม่มีความเห็น
เมื่อถามว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการนำคำว่า "อำมาตยาธิปไตย" มาใช้ มองเรื่องนี้อย่างไร นายสุจิต กล่าวว่า เป็นการใช้ผิดมาตลอด ความจริงแล้ว คำว่า อำมาตยาธิปไตย แปลมาจากภาษาอังกฤษ ที่ว่า bureaucratic polity ที่มีอาจารย์ฝรั่งมาศึกษาการเมืองไทยในช่วงที่ทหารเป็นรัฐบาล สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ว่า เมืองไทยเป็นการปกครองโดยระบอบราชการเป็นใหญ่ จึงใช้คำนี้ แล้วพวกที่เป็นนักวิชาการมาแปล แต่แปลว่า เป็นการเมืองระบบราชการ มันก็จืดๆ ก็มีคนเสนอให้ใช้ อำมาตยาธิปไตย บอกว่า หวือหวาดี ก็ใช้คำนี้ แต่พวกประท้วงรุ่นหลัง ก็บอกว่า เป็นการเมืองของคนชั้นสูง การเมืองของขุนนาง มันไม่มีแล้วในสังคมไทย ซึ่งคนที่ใช้ อาจมองว่า การเมืองไทยถูกผูกขาดด้วยขุนนางหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ไม่มีขุนนาง คำว่า อำมาตย์ หมายถึงข้าราชการ
นายสุจิต ยังกล่าวถึงรูปธรรมของการปรองดองของคนในสังคมว่า ต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ส่วนที่จะให้นิรโทษกรรม และเอากฎหมายปรองดองแห่งชาติมาใช้ นั้นตนคิดว่า ไม่รู้จะนิรโทษกรรมใคร ถ้าถูกลงโทษแล้วยังหลบหนีอยู่ สมควรที่จะให้นิรโทษกรรมหรือไม่ ในความรู้สึกของตน ทำไม่ได้ ส่วนความพยายามจะเสนอกฎหมายเพื่อการนิรโทษกรรม ขอถามว่า กฎหมายจะย้อนหลังได้อย่างไร เพราะถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับว่า กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ทั้งนี้การนิรโทษกรรมมักจะให้กับคนที่ไม่หลบหนี และกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้บอกว่า จะเคลื่อนไหวเพื่อปรองดอง
ฉะนั้นต้องหันมามามองว่า ประเทศไทยจะปฏิรูปอย่างไร ที่มีปัญหาคาราคาซังตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ซึ่งใหญ่ และซับซ้อน ครอบคลุมทั้งประเด็นโครงสร้างได้แก่ สถาบันการเมือง คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ราชการ ระบบการเลือกตั้ง รวมไปถึงค่านิยม วัฒนธรรมทางการเมือง ทัศนคติ จิตสำนึกประชาชน และจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำทางการเมือง นักการเมือง ข้าราชการ และเศรษฐกิจ และสังคมที่มีผลกระทบต่อการเดปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งคงต้องพูดกันเป็นปี
นายสุจิต กล่าวว่า ประเด็นที่ต้องคิดถึงอย่างมากในการพัฒนการเมืองในอนาคต คือ การสร้างความเข้มแข็ง และตระหนักในความเป็นพลเมือง ให้กับประชาชนหรือปัจเจกบุคคลในสังคมไทย การสร้างการเมืองภาคพลเมืองให้เข้มแข็ง สร้างความเข้มแข็งทางการเมืองของประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัตน์ เนื่องจากเรื่องต่างๆ ทะลักเข้ามาอย่างเสรี ปราศจากการจำกัด แนวคิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งมีฐานมาจากความคิดค่านิยมประชาธิปไตยตะวันตกก็เข้ามาด้วย
ทั้งนี้โลกาภิวัตน์ ยังทำให้มีการเคลื่อนย้ายทุนเสรี ระบบเศรษฐกิจเสรีพัฒนาต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง มีผลให้เกิดการยอมรับในสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีรากฝังลึกในสังคมเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
หลายประเทศให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ประเด็นที่ให้ความสำคัญต่างกัน รวมถึงการตีความว่า อะไรคือสิทธิ อะไรคือเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศในตะวันตกส่วนใหญ่ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพอย่างกว้างขวาง เพราะถือว่า สิทธิเสรีภาพ มากับการเป็นมนุษย์ จะจำกัดได้คือ ภายใต้กฎหมาย แต่รัฐก็ไม่สามารถออกกฎหมายมาจำกัดทั้งหมดได้
ส่วนสังคมไทย มักยอมให้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพมากกว่าตะวันตก แต่ปัจจุบันมีการยอมรับเรื่องสิทธิเสรีภาพมากขึ้น ดูจาก รธน.ปี 40 และปี 50 แต่ก็มีคนกังวลว่า สิทธิเสรีภาพ และความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตรงไหน
"ในสภาพโลกาภิวัตน์มีการไหลอย่างเสรี รวดเร็ว กว้างขวางของข้อมูลที่หลากหลายมาก ทั้งข้ามพรมแดนหรือหลั่งไหลในประเทศ ข้อมูลนี้มีทั้งข้อเท็จจริง ความเห็น คำวิจารณ์ หรือการบิดเบือนข้อมูลเพื่อประโยชน์ ของบางกลุ่มบางพวก ปรากฏในสื่ออิเลกทรอนิกส์ รวมถึงระบบส่งข้อมูลข่าวสารผ่านอินเตอร์เนท โฟนอิน วีดีโอลิงก์ ทำให้มีความพยายามของคนบางกลุ่ม ทั้งในและนอกประเทศ ที่จะชักจูงให้คนทั้งหลายคล้อยตามความคิดของตน ด้วยหลายวิธีการ เช่น การตัดต่อเอาส่วนที่ตรงกับความต้องการของตนเองมาออก นอกจากนี้การเสนอข้อมูลข่าวสาร ยังมีแบบตอกย้ำต่อเนื่อง ใช้ภาษาปลุกระดม พร้อมกับเหตุผลว่า เป็นสิทธิเสรีภาพการแสดงออก การเคลื่อนไหวตามการชี้นำทำได้ ฉะนั้น การสร้างความเข้มแข้งความเป็นพลเมือง จะทำให้ประชาชนแยกแยะข้อมูล เป็นตัวของตัวเองทางความคิด และการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตรงนี้จึงต้องเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยอย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแก้กฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องการศึกษา ปรับปรุงหลักสูตร การใช้สื่อ เป็นต้น เพื่อให้เข้าใจถึงความสมดุล ซึ่งอยู่ที่สังคมร่วมกันกำหนด โดยถ้าประชาชนเข้มแข็งก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความสมดุลจะอยู่ตรงไหน จึงต้องพัฒนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ทั้งในการเมือง หรือ ในชุมชน ไม่ให้อยู่ภายใต้ผู้นำที่ชักจูงไปทางใดก็ได้ นอกจากนี้ต้องเปิดให้ประชาชนมีช่องทางเรียกร้อง และเปิดโอกาสให้ตัดสินใจทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาระยะยาว สร้างสำนึกคุณค่าพลเมืองที่ตนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การใช้สิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่บนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของผู้นำ หรือ เงินไม่มากาไม่เป็น" นายสุจิต กล่าว
นายสุจิต กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งในขณะนี้ คงปล่อยให้วิกฤตยืดไปมากกว่านี้ไม่ได้ หลายคนมองถึงการสร้างความสมานฉันท์ ตนคิดว่า ทำได้แต่ต้องตั้งอยู่บนรากฐานความถูกต้อง ไม่ใช่สร้างความปรองดองบนความไม่ถูกต้อง การปฏิรูปการเมืองเป็นเรื่องยากมาก แต่ปฏิวัติง่าย เพราะปฏิรูปการเมืองต้องอาศัยความรอมชอมจากทุกฝ่าย แต่ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะติดวัฏจักรอันเลวร้ายแบบนี้ และขอให้คนที่รักชาติบ้านเมืองช่วยกันขบคิดหาทางออกให้ประเทศ
จากนั้นนายสุจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้อยู่สถาบันพระปกเกล้า เพียงแต่เป็นมติของสถาบันฯ ให้ตนทำหน้าที่ปฏิรูปการเมือง ตนก็รับปาก เพราะเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ส่วนสถาบันฯ จะมีการประชุมเพื่อทบทวนการตัดสินใจเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของสถาบันฯ ทั้งนี้ตนไม่คิดว่าเปลืองตัวที่เข้ามา เพราะเกษียณแล้ว
ส่วนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะผลักดันให้สังคมเข้าสู่ความรุนแรงหรือไม่ ตนไม่ทราบ และการชุนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 8 เม.ย.นี้ จะมีความรุนแรงหรือไม่นัน ตนไม่มีความเห็น
เมื่อถามว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการนำคำว่า "อำมาตยาธิปไตย" มาใช้ มองเรื่องนี้อย่างไร นายสุจิต กล่าวว่า เป็นการใช้ผิดมาตลอด ความจริงแล้ว คำว่า อำมาตยาธิปไตย แปลมาจากภาษาอังกฤษ ที่ว่า bureaucratic polity ที่มีอาจารย์ฝรั่งมาศึกษาการเมืองไทยในช่วงที่ทหารเป็นรัฐบาล สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร ว่า เมืองไทยเป็นการปกครองโดยระบอบราชการเป็นใหญ่ จึงใช้คำนี้ แล้วพวกที่เป็นนักวิชาการมาแปล แต่แปลว่า เป็นการเมืองระบบราชการ มันก็จืดๆ ก็มีคนเสนอให้ใช้ อำมาตยาธิปไตย บอกว่า หวือหวาดี ก็ใช้คำนี้ แต่พวกประท้วงรุ่นหลัง ก็บอกว่า เป็นการเมืองของคนชั้นสูง การเมืองของขุนนาง มันไม่มีแล้วในสังคมไทย ซึ่งคนที่ใช้ อาจมองว่า การเมืองไทยถูกผูกขาดด้วยขุนนางหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ไม่มีขุนนาง คำว่า อำมาตย์ หมายถึงข้าราชการ
นายสุจิต ยังกล่าวถึงรูปธรรมของการปรองดองของคนในสังคมว่า ต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ส่วนที่จะให้นิรโทษกรรม และเอากฎหมายปรองดองแห่งชาติมาใช้ นั้นตนคิดว่า ไม่รู้จะนิรโทษกรรมใคร ถ้าถูกลงโทษแล้วยังหลบหนีอยู่ สมควรที่จะให้นิรโทษกรรมหรือไม่ ในความรู้สึกของตน ทำไม่ได้ ส่วนความพยายามจะเสนอกฎหมายเพื่อการนิรโทษกรรม ขอถามว่า กฎหมายจะย้อนหลังได้อย่างไร เพราะถ้าทำอย่างนั้น ก็เท่ากับว่า กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง ทั้งนี้การนิรโทษกรรมมักจะให้กับคนที่ไม่หลบหนี และกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้บอกว่า จะเคลื่อนไหวเพื่อปรองดอง