ASTVผู้จัดการรายวัน- เศรษฐกิจชะลอตัวฉุดยอดการใช้แอลพีจีไตรมาสแรกปีนี้ลดวูบ 25% โดยเฉพาะขนส่งและอุตสาหกรรม ขณะที่ผู้ค้าแอลพีจีอ้างดีเซลราคายังแกว่งอยู่แม้จะต่ำกว่า 25 บาทต่อลิตรแต่ขอดูอีกระยะก่อนตัดสินใจลดค่าขนส่งลง 5 บาทต่อถัง 15 ก.ก.ตามคำขอจากกรมการค้าภายใน
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกของปี 2552 พบว่ายอดการใช้แอลพีจีรวมลดลงประมาณ 25-30% โดยเฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมลดลงเฉลี่ยประมาณ 20% ขณะที่ภาคครัวเรือนลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่องทำให้การใช้ภาคขนส่งที่เคยขยายตัวอย่างมากแทบไม่มีการเติบโต
อย่างไรก็ตามแม้ว่าระดับราคาน้ำมันโดยเฉพาะดีเซลที่เป็นต้นทุนการขนส่งแอลพีจีจะลดลงจากเดิมเคยสูงกว่าระดับ 25 บาทต่อลิตรมาอยู่ระดับ 22.69 บาทต่อลิตรแต่ทางสมาคมฯได้แจ้งไปยังกรมการค้าภายใน(คน.)เพื่อยืนยันว่ายังไม่สามารถปรับลดราคาค่าขนส่งแอลพีจีได้ตามที่คน.ร้องขอให้ลดราคาค่าขนส่งลง 5 บาทต่อถัง(15กิโลกรัม) ระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตรซึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 10 บาทต่อถังต่อเที่ยวเนื่องจากราคาดีเซลยังแกว่งตัวในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนอื่นๆ เช่นค่าแรงงาน ค่าสึกหรอไม่ได้ปรับลดลงดังนั้นหากทิศทางดีเซลชัดเจนไม่แกว่งตัวจะมีการปรับลดทันที
“ เรากำลังพิจารณาที่จะขอกระทรวงพาณิชยให้สมาคมฯเป็นแกนกลางประกาศราคาแนะนำค่าขนส่งเป็นรายเดือน แต่ยังคงแจ้งไปยังคน.ให้รับทราบเพื่อเป็นราคาให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบซึ่งขณะนี้บางพื้นที่ไม่ต้องให้เขาลดก็มีการลดราคาค่าขนส่งแล้วเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวจึงทำให้ร้านค้าที่บางแห่งลดค่าขนส่งจูงใจลูกค้าบ้างแล้ว บางแห่งถึงขั้นไม่เก็บค่าขนส่งก็มี”นายชิษณุพงศ์กล่าว
นายเทียนไชย จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาแอลพีจีตลาดโลกเริ่มขยับสูงตามทิศทางน้ำมันมาอยู่ระดับเกือบ 500 เหรียญต่อตันจากเคยต่ำสุดที่อยู่ระดับ 300 กว่าเหรียญต่อตันจึงเป็นเรื่องยากที่จะลอยตัวก๊าซหุงต้ม ประกอบกับการใช้ภาพรวมลดลงอย่างมากโดยเฉพาภาคขนส่งและยานยนต์จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือหากเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุดเมื่อใดคาดว่าราคาพลังงานจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งซึ่งนักวิเคราะห์มองกันว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4 ดังนั้นนโยบายรัฐบาลจะต้องชัดเจนในการรองรับปัญหาการนำเข้าแอลพีจีในอนาคตที่อาจจะเกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมาได้อีก
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกของปี 2552 พบว่ายอดการใช้แอลพีจีรวมลดลงประมาณ 25-30% โดยเฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมลดลงเฉลี่ยประมาณ 20% ขณะที่ภาคครัวเรือนลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่องทำให้การใช้ภาคขนส่งที่เคยขยายตัวอย่างมากแทบไม่มีการเติบโต
อย่างไรก็ตามแม้ว่าระดับราคาน้ำมันโดยเฉพาะดีเซลที่เป็นต้นทุนการขนส่งแอลพีจีจะลดลงจากเดิมเคยสูงกว่าระดับ 25 บาทต่อลิตรมาอยู่ระดับ 22.69 บาทต่อลิตรแต่ทางสมาคมฯได้แจ้งไปยังกรมการค้าภายใน(คน.)เพื่อยืนยันว่ายังไม่สามารถปรับลดราคาค่าขนส่งแอลพีจีได้ตามที่คน.ร้องขอให้ลดราคาค่าขนส่งลง 5 บาทต่อถัง(15กิโลกรัม) ระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตรซึ่งปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 10 บาทต่อถังต่อเที่ยวเนื่องจากราคาดีเซลยังแกว่งตัวในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนอื่นๆ เช่นค่าแรงงาน ค่าสึกหรอไม่ได้ปรับลดลงดังนั้นหากทิศทางดีเซลชัดเจนไม่แกว่งตัวจะมีการปรับลดทันที
“ เรากำลังพิจารณาที่จะขอกระทรวงพาณิชยให้สมาคมฯเป็นแกนกลางประกาศราคาแนะนำค่าขนส่งเป็นรายเดือน แต่ยังคงแจ้งไปยังคน.ให้รับทราบเพื่อเป็นราคาให้ผู้ใช้บริการได้รับทราบซึ่งขณะนี้บางพื้นที่ไม่ต้องให้เขาลดก็มีการลดราคาค่าขนส่งแล้วเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวจึงทำให้ร้านค้าที่บางแห่งลดค่าขนส่งจูงใจลูกค้าบ้างแล้ว บางแห่งถึงขั้นไม่เก็บค่าขนส่งก็มี”นายชิษณุพงศ์กล่าว
นายเทียนไชย จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า ราคาแอลพีจีตลาดโลกเริ่มขยับสูงตามทิศทางน้ำมันมาอยู่ระดับเกือบ 500 เหรียญต่อตันจากเคยต่ำสุดที่อยู่ระดับ 300 กว่าเหรียญต่อตันจึงเป็นเรื่องยากที่จะลอยตัวก๊าซหุงต้ม ประกอบกับการใช้ภาพรวมลดลงอย่างมากโดยเฉพาภาคขนส่งและยานยนต์จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือหากเศรษฐกิจโลกถึงจุดต่ำสุดเมื่อใดคาดว่าราคาพลังงานจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งซึ่งนักวิเคราะห์มองกันว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 4 ดังนั้นนโยบายรัฐบาลจะต้องชัดเจนในการรองรับปัญหาการนำเข้าแอลพีจีในอนาคตที่อาจจะเกิดปัญหาเช่นที่ผ่านมาได้อีก
